ผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. (อย่างเป็นทางการ)
1.ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร หมายเลข 2 พรรคประชาธิปัตย์ 934,602 คะแนน ร้อยละ 45.41
***นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน พรรคประชาธิปัตย์ 991,018 คะแนน ร้อยละ 45.93
2.นายยุรนันท์ ภมรมนตรี หมายเลข 10 พรรคเพื่อไทย 611,669 คะแนน ร้อยละ 29.72
***นายประภัสร์ จงสงวน พรรคพลังประชาชน 543,488 คะแนน ร้อยละ 25.19
3.ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล หมายเลข 8 อิสระ 334,846 คะแนน ร้อยละ 16.27
อ่านรายละเอียด
Friday, December 26, 2008
Monday, December 22, 2008
เคล็ดลับในการสร้างองค์กรที่เป็นเลิศ
เคล็ดลับในการสร้างองค์กรที่เป็นเลิศ*
เผยแพร่ใน วารสารห้องสมุด ปีที่ 52 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม 2551 หน้า 40-44
............................
**รองศาสตราจารย์ ดร.น้ำทิพย์ วิภาวิน
รองศาสตราจารย์ประจำสาขาวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
องค์กรที่เป็นเลิศ (High Performance Organizations: HPO)เป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพการดำเนินงานเป็นเลิศ มีความสามารถทางการแข่งขันสูง มีการจัดการความรู้ที่ดีและบุคลากรในองค์กรเป็นผู้ที่มีการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ในลักษณะขององค์กรแห่งการเรียนรู้ หลายคนต้องการคำตอบว่าองค์กรที่เป็นเลิศ มีการบริหารจัดการอย่างไร คำตอบที่ทุกคนเข้าใจคือองค์กรที่เป็นเลิศเน้นการทำในสิ่งที่ถูกต้อง(focus on the right thing) มีการวัดและประเมินผลที่ดี และมุ่งความสำเร็จที่ยั่งยืนในระยะยาว จากการสำรวจกว่า 2000 องค์กรในธุรกิจหลายประเภทได้เปิดเผยวิธีการที่ยังคงมีความสามารถในการแข่งขัน โดยการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็งและมีวิธีปฏิบัติที่จะทำให้คนดีและคนเก่งทำงานเพื่อความสำเร็จขององค์กร คอลลินและพอร์ราส(1995) ได้ศึกษา 18 องค์กรที่มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและก่อตั้งมายาวนานกว่า 100 ปี และเปรียบเทียบการทำงานกับองค์กรที่เป็นคู่แข่งขันในระดับเดียวกัน เขาได้อธิบายถึงความสำเร็จขององค์กรที่มีความเข้มแข็งและวัฒนธรรมอันยาวนานว่า องค์กรเหล่านั้นล้วนให้ความสำคัญกับการคัดเลือกคนมาทำงานที่สามารถนำไปสู่ความสำเร็จภายใต้สภาวะแวดล้อมนั้นๆได้ องค์กรเหล่านั้นจะต้องมีผู้นำที่เข้มแข็ง ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพดี ผู้บริหารมองเห็นตลาดและมีระดับการสร้างรายได้สูง กำไรจากการดำเนินธุรกิจเหล่านี้เป็นผลลัพท์จากการมีวัฒนธรรมการทำงานที่ดี ไม่ใช่จากแรงขับเคลื่อนที่อยู่เบื้องหลัง
จากงานวิจัยของสถาบันวิจัยสังคม (Institute of Social Research:ISR)(Maitland, 2002) ระบุจำนวนองค์ประกอบทางวัฒนธรรมที่ทำให้เห็นความแตกต่างขององค์กรที่เป็นเลิศจากองค์กรโดยทั่วไปคือ
• ให้ความสำคัญกับคุณภาพ เป็นจิตสำนึกและแนวปฏิบัติของบุคลากรทุกคนในองค์กรที่ทำให้ภาพลักษณ์ของสินค้าและบริการเป็นที่ยอมรับของผู้ใช้บริการ ไม่ว่าจะอยู่ภายใต้สภาวการณ์กดดันอย่างไร
• เน้นนวัตกรรม องค์กรที่เป็นเลิศจะคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้การดำเนินงานเหนือคู่แข่งขัน
• ให้ความสำคัญต่อลูกค้าก่อนเสมอ องค์กรที่เป็นเลิศให้บริการลูกค้าก่อนเสมอ ไม่ใช่เน้นผู้ถือหุ้น
• ลงทุนกับบุคลากร องค์การที่เป็นเลิศรู้ว่า บุคลากรเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุดขององค์กร เขาไม่เพียงแต่พูด แต่หมายความตามนั้นจริงๆ บุคลากรจะทุ่มเทให้กับองค์กรมากขึ้นเมื่อสิ่งที่เขาทุ่มเทไปได้รับการยอมรับและตอบสนองให้พัฒนาต่อไป
• สร้างวัฒนธรรมที่ดีและเข้มแข็ง เป็นองค์กรที่มีความสุข ที่บุคลากรเชื่อว่าสิ่งที่องค์กรทุ่มเทไปเป็นความถูกต้องชอบธรรมทั้งภายในและภายนอก เป็นวัฒนธรรมที่เกิดจากความเชื่อมั่นและศรัทธาต่อองค์กร และผู้นำองค์กร
ในการค้นหาความลับขององค์กรที่เป็นเลิศ ผู้วิจัยได้ใช้เวลา 5 ปีในการศึกษาลักษณะสำคัญที่ทำให้องค์กรเหล่านั้นมีความเป็นเลิศ และมีผลต่อผู้จัดการที่ทำให้นำไปปฏิบัติเพื่อให้ได้ผลสูงกว่าเป้าหมาย การวิจัยได้เริ่มจากการค้นหาเอกสารกว่า 280 สิ่งพิมพ์ที่ศึกษาเรื่องนี้ในรอบ 30 ปีที่ผ่านมาเกี่ยวกับองค์กรประสิทธิภาพสูง ซึ่งการสำรวจจากหน่วยงานทั่วโลกกว่า 2500 แห่งทั้งองค์กรของรัฐและองค์กรธุรกิจ โดย ได้เปรียบเทียบความแตกต่างด้านการเงินขององค์กรจากข้อมูลใน 280 สิ่งพิมพ์ พบว่าองค์กรประสิทธิภาพสูงจะได้รับผลตอบแทนทางด้านการเงินสูงกว่าองค์กรอื่น เมื่อเปรียบเทียบจากข้อมูลด้านอื่นที่ไม่ใช่ด้านการเงิน องค์กรที่มีประสิทธิภาพสูงจะมีระดับความพึงพอใจของลูกค้าสูงกว่า ความจงรักภักดีของลูกค้าและพนักงานมากกว่า รวมถึงคุณภาพของสินค้าและบริการดีกว่า
ผลจากการสำรวจพบว่าองค์กรที่เป็นเลิศมี 35 คุณลักษณะใน 5 องค์ประกอบที่แสดงให้เห็นว่าองค์กรนั้นเป็นองค์กรประสิทธิภาพสูงหรือเป็นคุณลักษณะขององค์กรที่เป็นเลิศ ดังนี้
องค์ประกอบที่ 1 ด้านคุณภาพการบริหาร (Management Quality) 1 การบริหารงานเป็นที่ไว้วางใจของสมาชิกในองค์กร
2 การบริหารงานถูกต้องและชอบธรรม
3 การบริหารงานเป็นต้นแบบให้แก่สมาชิกในองค์กร
4 การบริหารงานนำมาซึ่งการตัดสินใจที่รวดเร็ว
5 การบริหารงานนำไปสู่การปฏิบัติที่รวดเร็ว
6 การบริหารงานโดยเป็นพี่เลี้ยงแก่สมาชิกในองค์กรให้ได้ผลงานที่ดีขึ้น
7 การบริหารงานเน้นความสำเร็จของผลงาน
8 การบริหารงานมีประสิทธิภาพ
9 การบริหารงานโดยใช้ภาวะผู้นำสูง
10 การบริหารงานด้วยความเชื่อมั่น
11 การบริหารงานต้องมีการควบคุมที่รัดกุมสำหรับผู้ไม่ปฏิบัติงาน
องค์ประกอบที่ 2 ด้านวัฒนธรรมระบบเปิด (Openness and Action Orientation) 12 การบริหารงานเน้นการสื่อสารกับบุคลากรอย่างทั่วถึง
13 สมาชิกขององค์กรให้เวลากับการสื่อสารภายใน การแลกเปลี่ยนความรู้ และการเรียนรู้
14 สมาชิกองค์กรเกี่ยวข้องกับกระบวนการทำงานที่สำคัญ
15 การบริหารงานอนุญาตให้เรียนรู้ความผิดพลาดได้
16 การบริหารงานอนุญาตให้มีการเปลี่ยนแปลง
17 องค์กรเน้นประสิทธิภาพการดำเนินงาน
องค์ประกอบที่ 3 ด้านความมุ่งมั่นทุ่มเทในระยะยาว (Long Term Commitment / Orientation) 18 องค์กรได้รักษาความสัมพันธ์ที่ดีในระยะยาวกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
19 องค์กรมีเป้าหมายที่จะให้บริการลูกค้าให้ดีที่สุด
20 องค์กรได้เติบโตมาพร้อมๆกับคู่ค้า พันธมิตร และลูกค้า
21 การบริหารงานได้ดำเนินงานมาเป็นระยะเวลานาน
22 องค์กรเป็นที่ทำงานที่มั่นคงและปลอดภัยสำหรับสมาชิกในองค์กร
23 การบริหารงานรูปแบบใหม่ได้รับการส่งเสริมจากภายในองค์กร
องค์ประกอบที่ 4 ด้านการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง (Continuous Improvement) 24 องค์กรได้ปรับใช้กลยุทธ์ที่กำหนดไว้อย่างชัดเจนและแตกต่างจากองค์กรอื่น
25 กระบวนการภายในองค์กรมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
26 กระบวนการภายในองค์กรมีการดำเนินงานอย่างเรียบง่ายต่อเนื่อง
27 กระบวนการภายในองค์กรมีการดำเนินงานคู่ขนานอย่างต่อเนื่อง
28 มีการบันทึกรายงานทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพการดำเนินงานขององค์กร
29 องค์กรได้รายงานผลงานด้านการเงินและด้านอื่นๆให้สมาชิกในองค์กรทราบ
30 องค์กรได้สร้างนวัตกรรมต่อเนื่องในด้านสมรรถนะหลักขององค์กร
31 องค์กรสร้างนวัตกรรมของผลิตภัณฑ์ การบวนการ และบริการอย่างต่อเนื่อง
องค์ประกอบที่ 5 ด้านคุณภาพของแรงงาน (Workforce Quality) 32 การบริหารงานจะมีสมาชิกขององค์กรรับผิดชอบในผลลัพท์หรือผลสัมฤทธ์นั้น
33 การบริหารงานมีแรงจูงใจให้สมาชิกขององค์กรทำให้ได้ผลลัพท์หรือผลสัมฤทธ์เกินความคาดหวัง
34 สมาชิกขององค์กรได้รับการฝึกอบรมให้มีความยืดหยุ่นและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง
35 องค์กรมีแรงงานที่หลากหลายและมีส่วนสนับสนุนกัน
จากการศึกษาองค์กรที่เป็นเลิศพบว่าองค์ประกอบขององค์กรที่เป็นเลิศมีความสัมพันธ์โดยตรงกับประสิทธิภาพทางการแข่งขัน โดยองค์กรที่ให้ความสำคัญต่อองค์ประกอบขององค์กรที่เป็นเลิศและมีคะแนนสูงจะได้รับผลสำเร็จที่ดีกว่าองค์กรระดับเดียวกันในทุกธุรกิจและในทุกประเทศ ในทางตรงกันข้ามองค์กรที่มีคะแนนต่ำในองค์ประกอบขององค์กรที่เป็นเลิศจะมีระดับการปฏิบัติงานที่ต่ำกว่าในกลุ่มธุรกิจนั้นๆ ความแตกต่างขององค์กรที่เป็นเลิศและองค์กรที่ไม่เป็นเลิศคือ องค์กรที่เป็นเลิศจะเน้นการดำเนินงานตามความมุ่งมั่นในระยะยาวมากกว่าองค์กรที่ไม่เป็นเลิศ ทั้งนี้เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพขององค์กรอย่างเห็นได้ชัด
จากการวิเคราะห์องค์ประกอบในการเป็นองค์กรที่เป็นเลิศพบว่าทั้ง 5 องค์ประกอบมีความสัมพันธ์กันคือเมื่อองค์กรปรับปรุงองค์ประกอบใด องค์ประกอบอื่นจะได้รับการปรับปรุงตามไปด้วย แม้ว่าแต่ละองค์กรอาจจัดลำดับความสำคัญขององค์ประกอบต่างกัน ตามลักษณะของอุตสาหกรรมแต่ละประเภทเช่น องค์กรด้านการเงินอาจเน้นคุณภาพการบริหาร ความมุ่งมั่นทุ่มเทในระยะยาว การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง และคุณภาพของแรงงาน ในขณะที่องค์กรด้านสุขภาพหรือสาธารณสุข อาจเน้นองค์ประกอบด้านการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ตามด้วยคุณภาพด้านแรงงาน เป็นต้น
สิ่งที่น่าสนใจคือผลการวิจัยพบว่า สิ่งที่ไม่ใช่องค์ประกอบหลักที่ช่วยให้องค์กรสร้างความเป็นเลิศได้แก่
โครงสร้างองค์กร เทคนิคและวิธีการไม่ได้ช่วยให้องค์กรนั้นเป็นองค์กรที่เป็นเลิศ แม้ว่าองค์กรจะเลือกโครงสร้างองค์กรแบบไหนก็ไม่มีผลต่อการสร้างองค์กรที่เป็นเลิศ
• กลยุทธ์องค์กร การมีกลยุทธ์องค์กรที่เหมือนองค์กรอื่น ก็ไม่มีผลต่อการสร้างองค์กรที่เป็นเลิศ แต่กลยุทธ์ที่มีเอกลักษณ์เมื่อเปรียบเทียบกับองค์กรคู่แข่งประเภทเดียวกัน สามารถสร้างองค์กรที่เป็นเลิศได้ ดังนั้นความสำคัญจึงไม่ได้อยู่ที่กลยุทธ์อะไร แต่สำคัญที่องค์กรมีคนที่ใช่ในทีมที่เก่งหรือไม่ในการทำให้องค์กรมุ่งสู่ความเป็นเลิศ (A team of good people can achieve anything it wants, while an organization with a clear and well-defined strategy but without the right people to execute it is bound to go nowhere.)
• เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร แม้ว่าหลายองค์กรจะมุ่งเน้นไปที่การนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในองค์กร แต่ไม่ได้เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้องค์กรมีความเป็นเลิศ ถึงแม้ว่าคุณลักษณะด้านการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องจะเกี่ยวข้องกับการปรับปรุงโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ แต่การติดตั้งระบบใหม่หรือเทคโนโลยีใหม่ไม่ได้ช่วยให้ประสิทธิภาพการปฏิบัติงานดีขึ้น การติดตั้งระบบใหม่มีส่วนสนับสนุนอย่างน้อย 1 องค์ประกอบขององค์กรที่เป็นเลิศ จากผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า การเทียบเคียงสมรรถนะ(Benchmarking)ได้ผลน้อยกว่าที่คาดหวัง การสร้างองค์กรที่เป็นเลิศมีการดำเนินงานที่กว้างกว่าและแตกต่างจากการทำตามแนวปฏิบัติที่ดี(Best practices)ขององค์กรคู่แข่งเท่านั้น
จากการศึกษาคุณลักษณะและองค์ประกอบขององค์กรที่เป็นเลิศ เมื่อต้องการทราบสถานะขององค์กร สามารถดำเนินการศึกษาได้โดยการแจกแบบสอบถามให้แก่ผู้จัดการและพนักงานในองค์กรเพื่อพิจารณาตามคุณลักษณะขององค์กรที่เป็นเลิศโดยใช้การวัดระดับ โดยอาจศึกษาในแต่ละฝ่ายก่อน หรือ ศึกษาในลักษณะขององค์กรรวม ตัวอย่างเช่น ในองค์กรหนึ่งได้แจกแบบสอบถามให้พนักงาน 500 คน ในการจัดระดับคุณลักษณะขององค์กรที่เป็นเลิศในทุกๆด้าน 35 คุณลักษณะ ทำให้ทราบสถานะขององค์กรที่เป็นเลิศ ดังนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับองค์กรที่เป็นเลิศ มีระดับคะแนนขององค์ประกอบ 5 ด้านจากคะแนนเต็ม 10 ของแต่ละด้าน องค์กรในอุตสาหกรรมที่อยู่ในอันดับ 1-3 มีระดับคะแนน 8.5-9 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่สูงมาก เมื่อศึกษากรณีองค์กรด้านการเงินแห่งหนึ่ง ได้ระดับคะแนนทั้ง 5 ด้าน อยู่ในระดับ 5-7 ซึ่งเป็นระดับคะแนนโดยเฉลี่ยปานกลางสำหรับการเป็นองค์กรที่เป็นเลิศ ซึ่งจะทำให้ทราบองค์ประกอบที่ต้องการการปรับปรุง ดังนั้นหากองค์กรกำหนดวิสัยทัศน์ว่าจะเป็นองค์กรที่เป็นเลิศด้านธุรกิจการเงินการธนาคารที่ลูกค้าจะพึงพอใจสูงสุดภายใน 5 ปี วิธีการที่จะนำไปสู่ความสำเร็จจึงเป็นวิธีการดำเนินงานที่มุ่งสู่องค์กรที่เป็นเลิศตามคุณลักษณะข้างต้น
สรุปได้ว่า การศึกษาเกี่ยวกับองค์กรที่เป็นเลิศนี้เป็นการวิจัยในวงกว้างที่ไม่ได้เน้นเพียงโครงสร้าง แต่เน้นพฤติกรรมการบริหารและสภาพแวดล้อมภายนอก ผลของงานวิจัยจึงไม่เพียงแต่ให้องค์กรได้ทราบระดับขององค์กรที่เป็นเลิศ แต่เป็นการปูพื้นฐานในการปรับปรุงการดำเนินงานในระยะต่อไปที่จะช่วยยกระดับประสิทธิภาพองค์กร ซึ่งการพัฒนาความคิดและแนวปฏิบัติสามารถที่จะปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป เพื่อไม่ให้องค์กรต้องเผชิญภาวะความเสี่ยงต่อชะตากรรมที่องค์กรอื่นเคยประสบมาแล้ว ผู้นำองค์กรต้องมีความยืดหยุ่นและมีความคิดสร้างสรรค์ที่จะนำพาองค์กรไปสู่องค์กรระดับโลก
บรรณานุกรม Collin,J.C. and Porras,J.I (1995). Built to Last. Successful Habits of Visionary Companies. New York: Harper Business.
Holbeche, L.(2006). Understanding Change: Theory, Implementation and Success. Burlington, MA.: Butterworth-Heinemann.
Maitland, R.(2002). “Due Consideration”. People Management. 8,2: 51.
Smith, G.(2000). “Top 7 Secrets of Creating High Performance Organizations.” Top7Business. Retrieved from http://top7business.com/?id=396
Waal, A.A. (2008,April). “The Secret of High Performance Organizations”. Management Online Review. Retrieved from http:// www.morexpertise.com/get/88
เผยแพร่ใน วารสารห้องสมุด ปีที่ 52 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม 2551 หน้า 40-44
............................
**รองศาสตราจารย์ ดร.น้ำทิพย์ วิภาวิน
รองศาสตราจารย์ประจำสาขาวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
องค์กรที่เป็นเลิศ (High Performance Organizations: HPO)เป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพการดำเนินงานเป็นเลิศ มีความสามารถทางการแข่งขันสูง มีการจัดการความรู้ที่ดีและบุคลากรในองค์กรเป็นผู้ที่มีการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ในลักษณะขององค์กรแห่งการเรียนรู้ หลายคนต้องการคำตอบว่าองค์กรที่เป็นเลิศ มีการบริหารจัดการอย่างไร คำตอบที่ทุกคนเข้าใจคือองค์กรที่เป็นเลิศเน้นการทำในสิ่งที่ถูกต้อง(focus on the right thing) มีการวัดและประเมินผลที่ดี และมุ่งความสำเร็จที่ยั่งยืนในระยะยาว จากการสำรวจกว่า 2000 องค์กรในธุรกิจหลายประเภทได้เปิดเผยวิธีการที่ยังคงมีความสามารถในการแข่งขัน โดยการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็งและมีวิธีปฏิบัติที่จะทำให้คนดีและคนเก่งทำงานเพื่อความสำเร็จขององค์กร คอลลินและพอร์ราส(1995) ได้ศึกษา 18 องค์กรที่มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและก่อตั้งมายาวนานกว่า 100 ปี และเปรียบเทียบการทำงานกับองค์กรที่เป็นคู่แข่งขันในระดับเดียวกัน เขาได้อธิบายถึงความสำเร็จขององค์กรที่มีความเข้มแข็งและวัฒนธรรมอันยาวนานว่า องค์กรเหล่านั้นล้วนให้ความสำคัญกับการคัดเลือกคนมาทำงานที่สามารถนำไปสู่ความสำเร็จภายใต้สภาวะแวดล้อมนั้นๆได้ องค์กรเหล่านั้นจะต้องมีผู้นำที่เข้มแข็ง ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพดี ผู้บริหารมองเห็นตลาดและมีระดับการสร้างรายได้สูง กำไรจากการดำเนินธุรกิจเหล่านี้เป็นผลลัพท์จากการมีวัฒนธรรมการทำงานที่ดี ไม่ใช่จากแรงขับเคลื่อนที่อยู่เบื้องหลัง
จากงานวิจัยของสถาบันวิจัยสังคม (Institute of Social Research:ISR)(Maitland, 2002) ระบุจำนวนองค์ประกอบทางวัฒนธรรมที่ทำให้เห็นความแตกต่างขององค์กรที่เป็นเลิศจากองค์กรโดยทั่วไปคือ
• ให้ความสำคัญกับคุณภาพ เป็นจิตสำนึกและแนวปฏิบัติของบุคลากรทุกคนในองค์กรที่ทำให้ภาพลักษณ์ของสินค้าและบริการเป็นที่ยอมรับของผู้ใช้บริการ ไม่ว่าจะอยู่ภายใต้สภาวการณ์กดดันอย่างไร
• เน้นนวัตกรรม องค์กรที่เป็นเลิศจะคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้การดำเนินงานเหนือคู่แข่งขัน
• ให้ความสำคัญต่อลูกค้าก่อนเสมอ องค์กรที่เป็นเลิศให้บริการลูกค้าก่อนเสมอ ไม่ใช่เน้นผู้ถือหุ้น
• ลงทุนกับบุคลากร องค์การที่เป็นเลิศรู้ว่า บุคลากรเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุดขององค์กร เขาไม่เพียงแต่พูด แต่หมายความตามนั้นจริงๆ บุคลากรจะทุ่มเทให้กับองค์กรมากขึ้นเมื่อสิ่งที่เขาทุ่มเทไปได้รับการยอมรับและตอบสนองให้พัฒนาต่อไป
• สร้างวัฒนธรรมที่ดีและเข้มแข็ง เป็นองค์กรที่มีความสุข ที่บุคลากรเชื่อว่าสิ่งที่องค์กรทุ่มเทไปเป็นความถูกต้องชอบธรรมทั้งภายในและภายนอก เป็นวัฒนธรรมที่เกิดจากความเชื่อมั่นและศรัทธาต่อองค์กร และผู้นำองค์กร
ในการค้นหาความลับขององค์กรที่เป็นเลิศ ผู้วิจัยได้ใช้เวลา 5 ปีในการศึกษาลักษณะสำคัญที่ทำให้องค์กรเหล่านั้นมีความเป็นเลิศ และมีผลต่อผู้จัดการที่ทำให้นำไปปฏิบัติเพื่อให้ได้ผลสูงกว่าเป้าหมาย การวิจัยได้เริ่มจากการค้นหาเอกสารกว่า 280 สิ่งพิมพ์ที่ศึกษาเรื่องนี้ในรอบ 30 ปีที่ผ่านมาเกี่ยวกับองค์กรประสิทธิภาพสูง ซึ่งการสำรวจจากหน่วยงานทั่วโลกกว่า 2500 แห่งทั้งองค์กรของรัฐและองค์กรธุรกิจ โดย ได้เปรียบเทียบความแตกต่างด้านการเงินขององค์กรจากข้อมูลใน 280 สิ่งพิมพ์ พบว่าองค์กรประสิทธิภาพสูงจะได้รับผลตอบแทนทางด้านการเงินสูงกว่าองค์กรอื่น เมื่อเปรียบเทียบจากข้อมูลด้านอื่นที่ไม่ใช่ด้านการเงิน องค์กรที่มีประสิทธิภาพสูงจะมีระดับความพึงพอใจของลูกค้าสูงกว่า ความจงรักภักดีของลูกค้าและพนักงานมากกว่า รวมถึงคุณภาพของสินค้าและบริการดีกว่า
ผลจากการสำรวจพบว่าองค์กรที่เป็นเลิศมี 35 คุณลักษณะใน 5 องค์ประกอบที่แสดงให้เห็นว่าองค์กรนั้นเป็นองค์กรประสิทธิภาพสูงหรือเป็นคุณลักษณะขององค์กรที่เป็นเลิศ ดังนี้
องค์ประกอบที่ 1 ด้านคุณภาพการบริหาร (Management Quality) 1 การบริหารงานเป็นที่ไว้วางใจของสมาชิกในองค์กร
2 การบริหารงานถูกต้องและชอบธรรม
3 การบริหารงานเป็นต้นแบบให้แก่สมาชิกในองค์กร
4 การบริหารงานนำมาซึ่งการตัดสินใจที่รวดเร็ว
5 การบริหารงานนำไปสู่การปฏิบัติที่รวดเร็ว
6 การบริหารงานโดยเป็นพี่เลี้ยงแก่สมาชิกในองค์กรให้ได้ผลงานที่ดีขึ้น
7 การบริหารงานเน้นความสำเร็จของผลงาน
8 การบริหารงานมีประสิทธิภาพ
9 การบริหารงานโดยใช้ภาวะผู้นำสูง
10 การบริหารงานด้วยความเชื่อมั่น
11 การบริหารงานต้องมีการควบคุมที่รัดกุมสำหรับผู้ไม่ปฏิบัติงาน
องค์ประกอบที่ 2 ด้านวัฒนธรรมระบบเปิด (Openness and Action Orientation) 12 การบริหารงานเน้นการสื่อสารกับบุคลากรอย่างทั่วถึง
13 สมาชิกขององค์กรให้เวลากับการสื่อสารภายใน การแลกเปลี่ยนความรู้ และการเรียนรู้
14 สมาชิกองค์กรเกี่ยวข้องกับกระบวนการทำงานที่สำคัญ
15 การบริหารงานอนุญาตให้เรียนรู้ความผิดพลาดได้
16 การบริหารงานอนุญาตให้มีการเปลี่ยนแปลง
17 องค์กรเน้นประสิทธิภาพการดำเนินงาน
องค์ประกอบที่ 3 ด้านความมุ่งมั่นทุ่มเทในระยะยาว (Long Term Commitment / Orientation) 18 องค์กรได้รักษาความสัมพันธ์ที่ดีในระยะยาวกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
19 องค์กรมีเป้าหมายที่จะให้บริการลูกค้าให้ดีที่สุด
20 องค์กรได้เติบโตมาพร้อมๆกับคู่ค้า พันธมิตร และลูกค้า
21 การบริหารงานได้ดำเนินงานมาเป็นระยะเวลานาน
22 องค์กรเป็นที่ทำงานที่มั่นคงและปลอดภัยสำหรับสมาชิกในองค์กร
23 การบริหารงานรูปแบบใหม่ได้รับการส่งเสริมจากภายในองค์กร
องค์ประกอบที่ 4 ด้านการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง (Continuous Improvement) 24 องค์กรได้ปรับใช้กลยุทธ์ที่กำหนดไว้อย่างชัดเจนและแตกต่างจากองค์กรอื่น
25 กระบวนการภายในองค์กรมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
26 กระบวนการภายในองค์กรมีการดำเนินงานอย่างเรียบง่ายต่อเนื่อง
27 กระบวนการภายในองค์กรมีการดำเนินงานคู่ขนานอย่างต่อเนื่อง
28 มีการบันทึกรายงานทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพการดำเนินงานขององค์กร
29 องค์กรได้รายงานผลงานด้านการเงินและด้านอื่นๆให้สมาชิกในองค์กรทราบ
30 องค์กรได้สร้างนวัตกรรมต่อเนื่องในด้านสมรรถนะหลักขององค์กร
31 องค์กรสร้างนวัตกรรมของผลิตภัณฑ์ การบวนการ และบริการอย่างต่อเนื่อง
องค์ประกอบที่ 5 ด้านคุณภาพของแรงงาน (Workforce Quality) 32 การบริหารงานจะมีสมาชิกขององค์กรรับผิดชอบในผลลัพท์หรือผลสัมฤทธ์นั้น
33 การบริหารงานมีแรงจูงใจให้สมาชิกขององค์กรทำให้ได้ผลลัพท์หรือผลสัมฤทธ์เกินความคาดหวัง
34 สมาชิกขององค์กรได้รับการฝึกอบรมให้มีความยืดหยุ่นและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง
35 องค์กรมีแรงงานที่หลากหลายและมีส่วนสนับสนุนกัน
จากการศึกษาองค์กรที่เป็นเลิศพบว่าองค์ประกอบขององค์กรที่เป็นเลิศมีความสัมพันธ์โดยตรงกับประสิทธิภาพทางการแข่งขัน โดยองค์กรที่ให้ความสำคัญต่อองค์ประกอบขององค์กรที่เป็นเลิศและมีคะแนนสูงจะได้รับผลสำเร็จที่ดีกว่าองค์กรระดับเดียวกันในทุกธุรกิจและในทุกประเทศ ในทางตรงกันข้ามองค์กรที่มีคะแนนต่ำในองค์ประกอบขององค์กรที่เป็นเลิศจะมีระดับการปฏิบัติงานที่ต่ำกว่าในกลุ่มธุรกิจนั้นๆ ความแตกต่างขององค์กรที่เป็นเลิศและองค์กรที่ไม่เป็นเลิศคือ องค์กรที่เป็นเลิศจะเน้นการดำเนินงานตามความมุ่งมั่นในระยะยาวมากกว่าองค์กรที่ไม่เป็นเลิศ ทั้งนี้เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพขององค์กรอย่างเห็นได้ชัด
จากการวิเคราะห์องค์ประกอบในการเป็นองค์กรที่เป็นเลิศพบว่าทั้ง 5 องค์ประกอบมีความสัมพันธ์กันคือเมื่อองค์กรปรับปรุงองค์ประกอบใด องค์ประกอบอื่นจะได้รับการปรับปรุงตามไปด้วย แม้ว่าแต่ละองค์กรอาจจัดลำดับความสำคัญขององค์ประกอบต่างกัน ตามลักษณะของอุตสาหกรรมแต่ละประเภทเช่น องค์กรด้านการเงินอาจเน้นคุณภาพการบริหาร ความมุ่งมั่นทุ่มเทในระยะยาว การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง และคุณภาพของแรงงาน ในขณะที่องค์กรด้านสุขภาพหรือสาธารณสุข อาจเน้นองค์ประกอบด้านการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ตามด้วยคุณภาพด้านแรงงาน เป็นต้น
สิ่งที่น่าสนใจคือผลการวิจัยพบว่า สิ่งที่ไม่ใช่องค์ประกอบหลักที่ช่วยให้องค์กรสร้างความเป็นเลิศได้แก่
โครงสร้างองค์กร เทคนิคและวิธีการไม่ได้ช่วยให้องค์กรนั้นเป็นองค์กรที่เป็นเลิศ แม้ว่าองค์กรจะเลือกโครงสร้างองค์กรแบบไหนก็ไม่มีผลต่อการสร้างองค์กรที่เป็นเลิศ
• กลยุทธ์องค์กร การมีกลยุทธ์องค์กรที่เหมือนองค์กรอื่น ก็ไม่มีผลต่อการสร้างองค์กรที่เป็นเลิศ แต่กลยุทธ์ที่มีเอกลักษณ์เมื่อเปรียบเทียบกับองค์กรคู่แข่งประเภทเดียวกัน สามารถสร้างองค์กรที่เป็นเลิศได้ ดังนั้นความสำคัญจึงไม่ได้อยู่ที่กลยุทธ์อะไร แต่สำคัญที่องค์กรมีคนที่ใช่ในทีมที่เก่งหรือไม่ในการทำให้องค์กรมุ่งสู่ความเป็นเลิศ (A team of good people can achieve anything it wants, while an organization with a clear and well-defined strategy but without the right people to execute it is bound to go nowhere.)
• เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร แม้ว่าหลายองค์กรจะมุ่งเน้นไปที่การนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในองค์กร แต่ไม่ได้เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้องค์กรมีความเป็นเลิศ ถึงแม้ว่าคุณลักษณะด้านการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องจะเกี่ยวข้องกับการปรับปรุงโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ แต่การติดตั้งระบบใหม่หรือเทคโนโลยีใหม่ไม่ได้ช่วยให้ประสิทธิภาพการปฏิบัติงานดีขึ้น การติดตั้งระบบใหม่มีส่วนสนับสนุนอย่างน้อย 1 องค์ประกอบขององค์กรที่เป็นเลิศ จากผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า การเทียบเคียงสมรรถนะ(Benchmarking)ได้ผลน้อยกว่าที่คาดหวัง การสร้างองค์กรที่เป็นเลิศมีการดำเนินงานที่กว้างกว่าและแตกต่างจากการทำตามแนวปฏิบัติที่ดี(Best practices)ขององค์กรคู่แข่งเท่านั้น
จากการศึกษาคุณลักษณะและองค์ประกอบขององค์กรที่เป็นเลิศ เมื่อต้องการทราบสถานะขององค์กร สามารถดำเนินการศึกษาได้โดยการแจกแบบสอบถามให้แก่ผู้จัดการและพนักงานในองค์กรเพื่อพิจารณาตามคุณลักษณะขององค์กรที่เป็นเลิศโดยใช้การวัดระดับ โดยอาจศึกษาในแต่ละฝ่ายก่อน หรือ ศึกษาในลักษณะขององค์กรรวม ตัวอย่างเช่น ในองค์กรหนึ่งได้แจกแบบสอบถามให้พนักงาน 500 คน ในการจัดระดับคุณลักษณะขององค์กรที่เป็นเลิศในทุกๆด้าน 35 คุณลักษณะ ทำให้ทราบสถานะขององค์กรที่เป็นเลิศ ดังนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับองค์กรที่เป็นเลิศ มีระดับคะแนนขององค์ประกอบ 5 ด้านจากคะแนนเต็ม 10 ของแต่ละด้าน องค์กรในอุตสาหกรรมที่อยู่ในอันดับ 1-3 มีระดับคะแนน 8.5-9 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่สูงมาก เมื่อศึกษากรณีองค์กรด้านการเงินแห่งหนึ่ง ได้ระดับคะแนนทั้ง 5 ด้าน อยู่ในระดับ 5-7 ซึ่งเป็นระดับคะแนนโดยเฉลี่ยปานกลางสำหรับการเป็นองค์กรที่เป็นเลิศ ซึ่งจะทำให้ทราบองค์ประกอบที่ต้องการการปรับปรุง ดังนั้นหากองค์กรกำหนดวิสัยทัศน์ว่าจะเป็นองค์กรที่เป็นเลิศด้านธุรกิจการเงินการธนาคารที่ลูกค้าจะพึงพอใจสูงสุดภายใน 5 ปี วิธีการที่จะนำไปสู่ความสำเร็จจึงเป็นวิธีการดำเนินงานที่มุ่งสู่องค์กรที่เป็นเลิศตามคุณลักษณะข้างต้น
สรุปได้ว่า การศึกษาเกี่ยวกับองค์กรที่เป็นเลิศนี้เป็นการวิจัยในวงกว้างที่ไม่ได้เน้นเพียงโครงสร้าง แต่เน้นพฤติกรรมการบริหารและสภาพแวดล้อมภายนอก ผลของงานวิจัยจึงไม่เพียงแต่ให้องค์กรได้ทราบระดับขององค์กรที่เป็นเลิศ แต่เป็นการปูพื้นฐานในการปรับปรุงการดำเนินงานในระยะต่อไปที่จะช่วยยกระดับประสิทธิภาพองค์กร ซึ่งการพัฒนาความคิดและแนวปฏิบัติสามารถที่จะปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป เพื่อไม่ให้องค์กรต้องเผชิญภาวะความเสี่ยงต่อชะตากรรมที่องค์กรอื่นเคยประสบมาแล้ว ผู้นำองค์กรต้องมีความยืดหยุ่นและมีความคิดสร้างสรรค์ที่จะนำพาองค์กรไปสู่องค์กรระดับโลก
บรรณานุกรม Collin,J.C. and Porras,J.I (1995). Built to Last. Successful Habits of Visionary Companies. New York: Harper Business.
Holbeche, L.(2006). Understanding Change: Theory, Implementation and Success. Burlington, MA.: Butterworth-Heinemann.
Maitland, R.(2002). “Due Consideration”. People Management. 8,2: 51.
Smith, G.(2000). “Top 7 Secrets of Creating High Performance Organizations.” Top7Business. Retrieved from http://top7business.com/?id=396
Waal, A.A. (2008,April). “The Secret of High Performance Organizations”. Management Online Review. Retrieved from http:// www.morexpertise.com/get/88
คำขวัญวันเด็ก 2552
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้มอบคำขวัญวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2552 ซึ่งตรงกับวันที่ 10 มกราคม ว่า "ฉลาดคิด จิตบริสุทธิ์ จุดประกายฝัน ผูกพันรักสามัคคี" พร้อมทั้งอวยพรให้เด็กและเยาวชนไทยทุกคนมีสุขภาพแข็งแรงทั้งร่างกาย จิตใจและสติปัญญา เป็นเด็กยุคใหม่ที่มีความเฉลียวฉลาด มีความแจ่มใสเบิกบาน และมีคุณธรรมจริยธรรม เพื่อเติบโตเป็นอนาคตที่มีคุณภาพของสังคม และนำความเจริญมั่นคงมาสู่ประเทศไทยของเราต่อไปในภายหน้า
Sunday, December 21, 2008
คณะรัฐมนตรีชุดใหม่
เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า ตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่ 17 ธันวาคม พุทธศักราช 2551 แล้วนั้น
บัดนี้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เลือกสรรผู้ที่สมควรดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีเพื่อบริหารราชการแผ่นดินสืบไปแล้ว อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 171 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรีดังต่อไปนี้
1. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรองนายกรัฐมนตรี
2. นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เป็นรองนายกรัฐมนตรี
3. พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์ เป็นรองนายกรัฐมนตรี
4. นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
5. นายวีระชัย วีระเมธีกุล เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
6. พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
7. นายกรณ์ จาติกวณิช เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
8. นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
9. นายพฤฒิชัย ดำรงรัตน์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
10.นายกษิต ภิรมย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
11.นายชุมพล ศิลปอาชา เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
12.นายวิฑูรย์ นามบุตร เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์
13.นายธีระ วงศ์สมุทร เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
14.นายชาติชาย พุคยาภรณ์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
15.นายโสภณ ซารัมย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
16.นายประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
17.นายเกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
18.นายสุวิทย์ คุณกิตติ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
19.ร้อยตรีหญิง ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
20.นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
21.นางพรทิวา นาคาศัย เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
22.นายอลงกรณ์ พลบุตร เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
23.นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
24.นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
25.นายถาวร เสนเนียม เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
26.นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
27.นายไพฑูรย์ แก้วทอง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
28.นายธีระ สลักเพชร เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม
29.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
30.นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
31.นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
32.น.ส.นริศรา ชวาลตันพิพัฒน์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
33.นายวิทยา แก้วภราดัย เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
34.นายมานิต นพอมรบดี เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข
35.นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
แหล่งข้อมูล
บัดนี้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เลือกสรรผู้ที่สมควรดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีเพื่อบริหารราชการแผ่นดินสืบไปแล้ว อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 171 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรีดังต่อไปนี้
1. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรองนายกรัฐมนตรี
2. นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เป็นรองนายกรัฐมนตรี
3. พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์ เป็นรองนายกรัฐมนตรี
4. นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
5. นายวีระชัย วีระเมธีกุล เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
6. พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
7. นายกรณ์ จาติกวณิช เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
8. นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
9. นายพฤฒิชัย ดำรงรัตน์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
10.นายกษิต ภิรมย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
11.นายชุมพล ศิลปอาชา เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
12.นายวิฑูรย์ นามบุตร เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์
13.นายธีระ วงศ์สมุทร เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
14.นายชาติชาย พุคยาภรณ์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
15.นายโสภณ ซารัมย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
16.นายประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
17.นายเกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
18.นายสุวิทย์ คุณกิตติ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
19.ร้อยตรีหญิง ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
20.นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
21.นางพรทิวา นาคาศัย เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
22.นายอลงกรณ์ พลบุตร เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
23.นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
24.นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
25.นายถาวร เสนเนียม เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
26.นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
27.นายไพฑูรย์ แก้วทอง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
28.นายธีระ สลักเพชร เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม
29.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
30.นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
31.นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
32.น.ส.นริศรา ชวาลตันพิพัฒน์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
33.นายวิทยา แก้วภราดัย เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
34.นายมานิต นพอมรบดี เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข
35.นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
แหล่งข้อมูล
Monday, December 15, 2008
"อภิสิทธิ์" เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 27 ของไทย
"อภิสิทธิ์" เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 27 ของไทย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.56 น. หลังการลงคะแนนเลือกนายกรัฐมตรีคนที่ 27 ที่อาคารรัฐสภา ปรากฏว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้รับ 232 คะแนน ขณะที่ พล.ต.อ.ประชา พรมนอก หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน (พผ.) ได้รับ 197 คะแนน โดยงดออกเสียง 3 เสียง ทำให้นายอภิสิทธิ์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ของประเทศไทย ด้วยวัย 44 ปี ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ ขึ้นเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล แหล่งข้อมูล
นายกรัฐมนตรีของไทย คนที่ 1-24
คนที่ 25 นายสมัคร สุนทรเวช
คนที่ 26 นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.56 น. หลังการลงคะแนนเลือกนายกรัฐมตรีคนที่ 27 ที่อาคารรัฐสภา ปรากฏว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้รับ 232 คะแนน ขณะที่ พล.ต.อ.ประชา พรมนอก หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน (พผ.) ได้รับ 197 คะแนน โดยงดออกเสียง 3 เสียง ทำให้นายอภิสิทธิ์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ของประเทศไทย ด้วยวัย 44 ปี ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ ขึ้นเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล แหล่งข้อมูล
นายกรัฐมนตรีของไทย คนที่ 1-24
คนที่ 25 นายสมัคร สุนทรเวช
คนที่ 26 นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
Thursday, December 11, 2008
ยกเลิกระบบซีของข้าราชการ
เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน กล่าวถึงกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) จะยกเลิกระบบซีของข้าราชการ ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนสามัญ พ.ศ.2551 นั้นว่า กฎหมายมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 25 ม.ค.51 โดยมีบทเฉพาะกาลว่าจะต้องจัดตำแหน่งของข้าราชการทั้งหมดที่เป็นระบบซีเข้าสู่ระบบใหม่ ซึ่งแยกไว้ 4 ประเภท คือ ประเภทบริหาร ประเภทอำนวยการ ประเภทวิชาการ และประเภททั่วไป ให้ได้ภายใน 1 ปี คือ ก่อนวันที่ 25 ม.ค.52 โดยในวันนี้ (11 ธ.ค.) ถือเป็นวันดีเดย์ที่จะมีการปรับเปลี่ยน ให้ข้าราชการพลเรือนทุกระดับทั่วประเทศประมาณ 370,000 คน เข้าสู่ระบบใหม่ โดยตำแหน่งที่เป็นหัวหน้าส่วนราชการระดับกรม กระทรวง จะอยู่ในประเภทบริหาร ประมาณ 1,000 ตำแหน่ง , ตำแหน่งผู้อำนวยการกอง หรือ หัวหน้าหน่วยงานที่ต่ำกว่ากรม หรือตำแหน่งที่เคยรับเงินบริหารระดับกลาง ระดับต้น หรือระดับสูงอยู่ จะจัดอยู่ในประเภทอำนวยการ ประมาณ 4,500 ตำแหน่ง , ตำแหน่งที่ต้องปฏิบัติ โดยผู้ที่ต้องใช้ความรู้ทางด้านปริญญา จะมาจัดอยู่ในประเภทวิชาการ ประมาณ 220,000-230,000 ตำแหน่ง , ส่วนที่เหลือจะจัดอยู่ในประเภททั่วไป กว่า 130,000 ตำแหน่ง
ส่วนระบบการขึ้นเงินในระบบใหม่นั้นจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.52 ซึ่งจะขึ้นเงินเดือนเป็นระบบเปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ เพราะจะเป็นเครื่องกระตุ้นการบริหารผลงานบริหารจัดการของข้าราชการ โดยในอนาคตจะทำให้สามารถขึ้นเงินเดือนให้กับข้าราชการได้ถึง 8-12 เปอร์เซ็นต์ต่อปี แหล่งข้อมูล
ส่วนระบบการขึ้นเงินในระบบใหม่นั้นจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.52 ซึ่งจะขึ้นเงินเดือนเป็นระบบเปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ เพราะจะเป็นเครื่องกระตุ้นการบริหารผลงานบริหารจัดการของข้าราชการ โดยในอนาคตจะทำให้สามารถขึ้นเงินเดือนให้กับข้าราชการได้ถึง 8-12 เปอร์เซ็นต์ต่อปี แหล่งข้อมูล
Tuesday, December 09, 2008
รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ
รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ เป็นเครื่องกำหนดระเบียบแบบแผนของสังคม เพื่อเป็นการระลึกถึงรัฐธรรมนูญฉบับแรก อันเป็นฉบับถาวร และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานให้กับปวงชนชาวไทย ทางราชการจึงกำหนด วันที่ ๑๐ ธันวาคมของทุกปี เป็นวันรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญ หมายถึง กฎหมายว่าด้วยระเบียบการปกครองประเทศ
วันรัฐธรรมนูญ วันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยาม ฉบับถาวร เพื่อเป็นหลักในการปกครองของประเทศให้แก่ประชาชนชาวไทย
แหล่งข้อมูล
รัฐธรรมนูญ หมายถึง กฎหมายว่าด้วยระเบียบการปกครองประเทศ
วันรัฐธรรมนูญ วันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยาม ฉบับถาวร เพื่อเป็นหลักในการปกครองของประเทศให้แก่ประชาชนชาวไทย
แหล่งข้อมูล
Saturday, December 06, 2008
The iSkills™ assessment
The iSkills™ assessment is the only Information and Communication Technology (ICT) literacy test that assesses critical thinking in a digital environment. The test has questions that simulate real-world scenarios. Knowledge of the topics and ability to manipulate technology are needed to complete tasks such as extracting information from a database, developing a spreadsheet, or composing an e-mail based on research findings. The iSkills assessment does not have multiple-choice questions.
The Core and Advanced assessments are designed similarly. However, the Advanced assessment is designed to be more challenging and requires more sophisticated reading comprehension skills.
What does the iSkills assessment measure and how?
The iSkills assessment measures the range of cognitive and non-cognitive ICT literacy skills aligned with nationally recognized Association of Colleges and Research Libraries (ACRL) standards (PDF). Your students' ability to navigate, critically evaluate and make sense of the wealth of information available through digital technology is measured — so you can make the necessary changes to narrow skill gaps.
The content areas measured are:
Content Topics:
Humanities
Social Sciences
Practical Affairs
Popular Culture
Natural Sciences
Technology Topics
Web Use – E-mail, Instant Messaging, Bulletin Board Postings, Browser Use, Search Engines
Database Management – Data Searches, File Management
Software – Word Processing, Spreadsheet, Presentations, Graphics
ICT Proficiencies (PDF)
A clear understanding of how your students perform on each of the 7 ICT literacy proficiencies helps you identify where further curriculum development is needed to help your students succeed.
Define
Know how to articulate a need for and determine where to locate information
Create a research topic to fit a particular information need or complete a concept map
Access
Search and collect information from the Internet and databases
Read and refine a search to locate resources
Evaluate
Assess the relevancy, veracity and completeness of information for a specific purpose
Select the best database to use and determine the sufficiency of information on a website for a particular need
Manage
Develop and use a comprehensive organizational scheme
Document relationships using an organizational chart and sort e-mails into appropriate folders
Integrate
Synthesize, summarize, compare and draw conclusions from information from multiple sources
Compare and contrast information from web pages or a spreadsheet and synthesize information from instant messages into a word processing document
Create
Generate information by adapting and critically analyzing current data
Create a graph that supports a point of view. Select text and graphics to communicate the point of view
Communicate
Convey information persuasively to various audiences using the right medium
Be able to adapt presentation slides and revise an e-mail
More information
The Core and Advanced assessments are designed similarly. However, the Advanced assessment is designed to be more challenging and requires more sophisticated reading comprehension skills.
What does the iSkills assessment measure and how?
The iSkills assessment measures the range of cognitive and non-cognitive ICT literacy skills aligned with nationally recognized Association of Colleges and Research Libraries (ACRL) standards (PDF). Your students' ability to navigate, critically evaluate and make sense of the wealth of information available through digital technology is measured — so you can make the necessary changes to narrow skill gaps.
The content areas measured are:
Content Topics:
Humanities
Social Sciences
Practical Affairs
Popular Culture
Natural Sciences
Technology Topics
Web Use – E-mail, Instant Messaging, Bulletin Board Postings, Browser Use, Search Engines
Database Management – Data Searches, File Management
Software – Word Processing, Spreadsheet, Presentations, Graphics
ICT Proficiencies (PDF)
A clear understanding of how your students perform on each of the 7 ICT literacy proficiencies helps you identify where further curriculum development is needed to help your students succeed.
Define
Know how to articulate a need for and determine where to locate information
Create a research topic to fit a particular information need or complete a concept map
Access
Search and collect information from the Internet and databases
Read and refine a search to locate resources
Evaluate
Assess the relevancy, veracity and completeness of information for a specific purpose
Select the best database to use and determine the sufficiency of information on a website for a particular need
Manage
Develop and use a comprehensive organizational scheme
Document relationships using an organizational chart and sort e-mails into appropriate folders
Integrate
Synthesize, summarize, compare and draw conclusions from information from multiple sources
Compare and contrast information from web pages or a spreadsheet and synthesize information from instant messages into a word processing document
Create
Generate information by adapting and critically analyzing current data
Create a graph that supports a point of view. Select text and graphics to communicate the point of view
Communicate
Convey information persuasively to various audiences using the right medium
Be able to adapt presentation slides and revise an e-mail
More information
Friday, December 05, 2008
“โครงการทำดีเพื่อพ่อ ขอคนไทยให้รักกัน”
“โครงการทำดีเพื่อพ่อ ขอคนไทยให้รักกัน” ร่วมกับสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ เปิดเผยผลการวิจัยในหัวข้อ “ความตั้งใจของประชาชนที่จะทำความดีเพื่อพ่อ ถวายแด่ในหลวง” พบว่าความภาคภูมิใจในความเป็นคนไทยลดลงกว่าครึ่ง ตั้งแต่การพูดเต็มปากว่าไทยเป็นเมืองแห่งรอยยิ้มลดเหลือเพียง 5.77 คะแนน (จากคะแนนเต็มสิบ) และจากที่เป็นสังคมแห่งความสงบสุขและสันติสุขลดลงไม่ถึงครึ่ง เหลือเพียง 4.63 คะแนน ในขณะที่เป็นสังคมแห่งความรักและเกื้อกูลกันเหลือเพียง 4.63 คะแนนเท่านั้น และ 92.5 เปอร์เซนต์ เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมว่าเป็นเสาหลักและเป็นทางออกของสังคม อ่านรายละเอียด
การบินไทยย้ำบริการตามปกติทั้งสองสนามบิน 5 ธ.ค.นี้
พลอากาศเอกณรงค์ศักดิ์ สังขพงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักเลขานุการ บริษัทฯ ปฏิบัติหน้าที่ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยเมื่อวันที่ 4 ธันวาคมว่า การบินไทยเปิดให้บริการเที่ยวบิน ทั้งขาเข้าและขาออก ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานดอนเมืองตามปกติ โดยใช้ตารางการบินประจำภาคฤดูหนาว 2551/2552
สำหรับท่าอากาศยานดอนเมือง การบินไทยได้ทำการบินเส้นทางภายในประเทศในวันที่ 4 ธันวาคม 2551 บริษัทฯ ขอความกรุณาให้ผู้โดยสารทำการเช็คอินในเที่ยวบินที่จะเดินทาง ณ อาคารผู้โดยสารภายในประเทศ ท่าอากาศยานดอนเมือง และในวันที่ 5 ธันวาคม 2551 จะมีเที่ยวบินเส้นทางบินภายในประเทศขาเข้า จำนวน 9 เที่ยวบิน ขาออก จำนวน 9 เที่ยวบิน
สำหรับท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ การบินไทยจะทำการบินตามตารางการบินปกติ ในวันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม 2551 ตั้งแต่เวลา 11.00 น. เป็นต้นไป ขอความกรุณาให้ผู้โดยสาร ทำการเช็คอินในเที่ยวบินที่เดินทาง ณ อาคารผู้โดยสาร ชั้น 4 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ก่อนเวลาเครื่องบินออกอย่างน้อย 3 ชั่วโมง ทั้งนี้ มีเที่ยวบินขาออกเส้นทางบินระหว่างประเทศ จำนวน 47 เที่ยวบิน และเส้นทางบินภายในประเทศขาเข้า จำนวน 7 เที่ยวบิน ขาออก จำนวน 7 เที่ยวบิน
อนึ่ง ตั้งแต่เวลา 24.00 น. ของวันที่ 4 ธันวาคม 2551 เคาน์เตอร์เช็คอินของการบินไทย ณ ศูนย์ไบเทค บางนา จะปิดให้บริการ ขอความกรุณาให้ผู้โดยสารมาทำการเช็คอินตามปกติ ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม 2551 เวลา 06.00 น. เป็นต้นไป
ผู้โดยสารสอบถามรายละเอียดและสำรองที่นั่งได้ที่ โทร. 02-356-1111 หรือ www.thaiair.com หรือ www.thaiairways.com แหล่งข้อมูล
สำหรับท่าอากาศยานดอนเมือง การบินไทยได้ทำการบินเส้นทางภายในประเทศในวันที่ 4 ธันวาคม 2551 บริษัทฯ ขอความกรุณาให้ผู้โดยสารทำการเช็คอินในเที่ยวบินที่จะเดินทาง ณ อาคารผู้โดยสารภายในประเทศ ท่าอากาศยานดอนเมือง และในวันที่ 5 ธันวาคม 2551 จะมีเที่ยวบินเส้นทางบินภายในประเทศขาเข้า จำนวน 9 เที่ยวบิน ขาออก จำนวน 9 เที่ยวบิน
สำหรับท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ การบินไทยจะทำการบินตามตารางการบินปกติ ในวันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม 2551 ตั้งแต่เวลา 11.00 น. เป็นต้นไป ขอความกรุณาให้ผู้โดยสาร ทำการเช็คอินในเที่ยวบินที่เดินทาง ณ อาคารผู้โดยสาร ชั้น 4 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ก่อนเวลาเครื่องบินออกอย่างน้อย 3 ชั่วโมง ทั้งนี้ มีเที่ยวบินขาออกเส้นทางบินระหว่างประเทศ จำนวน 47 เที่ยวบิน และเส้นทางบินภายในประเทศขาเข้า จำนวน 7 เที่ยวบิน ขาออก จำนวน 7 เที่ยวบิน
อนึ่ง ตั้งแต่เวลา 24.00 น. ของวันที่ 4 ธันวาคม 2551 เคาน์เตอร์เช็คอินของการบินไทย ณ ศูนย์ไบเทค บางนา จะปิดให้บริการ ขอความกรุณาให้ผู้โดยสารมาทำการเช็คอินตามปกติ ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม 2551 เวลา 06.00 น. เป็นต้นไป
ผู้โดยสารสอบถามรายละเอียดและสำรองที่นั่งได้ที่ โทร. 02-356-1111 หรือ www.thaiair.com หรือ www.thaiairways.com แหล่งข้อมูล
Wednesday, December 03, 2008
เปิดสนามบินสุวรรณภูมิ
นายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ ผอ. ท่าอาศยานสุวรรณภูมิ กล่าวถึงการเปิดใช้สนามบินอีกครั้งว่า การเปิดใช้สนามบินเต็มรูปต้องใช้เวลาในการตรวจสอบอาทิสิ่งแปลกปลอม วัตถุระเบิดความพร้อมอุปกรณ์ต่าง ๆ รวมทั้งระบบทั้งหมดว่าสามารถเปิดใช้ได้ซึ่งจะต้องมีผู้ตรวจสอบจากกรมการขนส่งทางอากาศ สมาคมนักบิน จึงจะสามารถเปิดการบินได้และหากเห็นว่าไม่มีปัญหาก็เปิดการบินอย่างเต็มรูปแบบได้ซึ่งจะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุดประมาณ 1 สัปดาห์อย่างน้อยแต่ไม่น่าเกิน 2 สัปดาห์
ส่วนวันที่ 5 ธ.ค.คงไม่เต็มรูปแบบแต่สามารถเช็คดินที่ไบเทคขึ้นเครื่องที่สุวรรณภูมิได้ซึ่งจะเร่งประสานไปยังกับผู้เกี่ยวข้อง ไฟท์แรกที่ออกจากสุวรรณภูมิน่าจะหลังเที่ยงส่วนระบบอื่นที่เปิดใช้การได้เลยเครื่องบินคาร์โก้ซึ่งให้บริการ ตั้งแต่ 9 โมงที่ผ่านมา ขณะนี้พันธมิตรกำลังเก็บข้าวของและทำความสะอาด คิดว่าคงไม่มีมีปัญหาอะไร
" 15 ธ.ค.จะพยายามเต็มที่อยู่กับผู้ตรวจสอบของเรา การตรวจสอบระบบและความเสียหาย หลังสถานการณ์คลี่คลายแล้วจะตัองส่งจดหมายไปยังผู้เกี่ยวข้องกับการบินว่าเราสามารถเปิดการบินและทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อยสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นประมาณ 100 กว่าล้านต่อวัน อย่างไรก็ตามครั้งนี้ถือเป็นบทเรียนครั้งนี้ใหญ่หลวง อย่าให้มีเกิดขึ้นอีก " แหล่งข้อมูล
ส่วนวันที่ 5 ธ.ค.คงไม่เต็มรูปแบบแต่สามารถเช็คดินที่ไบเทคขึ้นเครื่องที่สุวรรณภูมิได้ซึ่งจะเร่งประสานไปยังกับผู้เกี่ยวข้อง ไฟท์แรกที่ออกจากสุวรรณภูมิน่าจะหลังเที่ยงส่วนระบบอื่นที่เปิดใช้การได้เลยเครื่องบินคาร์โก้ซึ่งให้บริการ ตั้งแต่ 9 โมงที่ผ่านมา ขณะนี้พันธมิตรกำลังเก็บข้าวของและทำความสะอาด คิดว่าคงไม่มีมีปัญหาอะไร
" 15 ธ.ค.จะพยายามเต็มที่อยู่กับผู้ตรวจสอบของเรา การตรวจสอบระบบและความเสียหาย หลังสถานการณ์คลี่คลายแล้วจะตัองส่งจดหมายไปยังผู้เกี่ยวข้องกับการบินว่าเราสามารถเปิดการบินและทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อยสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นประมาณ 100 กว่าล้านต่อวัน อย่างไรก็ตามครั้งนี้ถือเป็นบทเรียนครั้งนี้ใหญ่หลวง อย่าให้มีเกิดขึ้นอีก " แหล่งข้อมูล
Tuesday, December 02, 2008
ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคพลังประชาชน ชาติไทยและมัชฌิมาธิปไตย
หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคพลังประชราชน ชาติไทยและมัชฌิมาธิปไตยและเพิกถอนสิทธิกรรมการบริหารพรรคทั้งหมด จะทำให้คณะรัฐมนตรีซึ่งเป็นกรรมการบริหารพรรคทั้งสามต้องพ้นจากตำแหน่งทันที 13 คน จาก ทำให้ ครม.ที่เหลือ 21 คน ต้องรักษาการจนกว่าจะมีการปแต่งตั้งใหม่
ผู้สื่อข่าว"มติชนออนไลน์รายงานว่า หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคพลังประชาชน ชาติไทยและมัชฌิมาธิปไตยและเพิกถอนสิทธิกรรมการบริหารพรรคทั้งหมด จะทำให้คณะรัฐมนตรีซึ่งเป็นกรรมการบริหารพรรคทั้งสามต้องพ้นจากตำแหน่งทันที 13 คน(จาก ครม.ทั้งหมด 34 คน) ประกอบด้วย
1. นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
2.นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ เป็น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
3.นายสุขุมพงศ์ โง่นคำ เป็น รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
4.นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
5.นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
6.นายสมพัฒน์ แก้วพิจิตร เป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
7.นายธีระชัย แสนแก้ว เป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
8.นายวราวุธ ศิลปอาชา เป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
10.นายไชยา สะสมทรัพย์ เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
11.นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ เป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
12 .นายศรีเมือง เจริญศิริ เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
13.นางอนงค์วรรณ เทพสุทิน เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เมื่อนายสมชาย นายกรัฐมนตรี พ้นจากตำแหน่ ทำให้คณะรัฐมนตรีทั้งคณะต้องพ้นจากตำแหน่งด้วย(รัฐธรรมนูญ มาตรา 180(1) แต่เนื่องจากรัฐธรรมนูญมาตรา 181 บัญญัติให้ คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่เข้ารับหน้าที่ จึงทำมีอยู่ ครม.ทั้งหมดที่มีอยู่ 34 คนสามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ 22 คนเนื่องจาก 12 คนถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ซึ่งทั้ง 21 คนสามารถเรียกประชุมเพื่อลงมติให้รัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีจนกว่าจะมีการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่
สำหรับรัฐมนตรีที่เหลือ 22 คนประกอบด้วย
พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล เป็น รองนายกรัฐมนตรี
นายโอฬาร ไชยประวัติ เป็น รองนายกรัฐมนตรี
พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์ เป็น รองนายกรัฐมนตรี
นายสุพล ฟองงาม เป็น รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
ร้อยตรีหญิง ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี เป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
นายอุดมเดช รัตนเสถียร เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
นายสันติ พร้อมพัฒน์ เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
นายโสภณ ซารัมย์ เป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
นายมั่น พัธโนทัย เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
พันตำรวจโท บรรยิน ตั้งภากรณ์ เป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข เป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
นายประสงค์ โฆษิตานนท์ เป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
นางอุไรวรรณ เทียนทอง เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม
นายวุฒิพงศ์ ฉายแสง เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
นายวิชาญ มีนชัยนันท์ เป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข
พลตำรวจเอก ประชา พรหมนอก เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
แหล่งข้อมูล
ผู้สื่อข่าว"มติชนออนไลน์รายงานว่า หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคพลังประชาชน ชาติไทยและมัชฌิมาธิปไตยและเพิกถอนสิทธิกรรมการบริหารพรรคทั้งหมด จะทำให้คณะรัฐมนตรีซึ่งเป็นกรรมการบริหารพรรคทั้งสามต้องพ้นจากตำแหน่งทันที 13 คน(จาก ครม.ทั้งหมด 34 คน) ประกอบด้วย
1. นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
2.นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ เป็น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
3.นายสุขุมพงศ์ โง่นคำ เป็น รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
4.นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
5.นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
6.นายสมพัฒน์ แก้วพิจิตร เป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
7.นายธีระชัย แสนแก้ว เป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
8.นายวราวุธ ศิลปอาชา เป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
10.นายไชยา สะสมทรัพย์ เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
11.นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ เป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
12 .นายศรีเมือง เจริญศิริ เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
13.นางอนงค์วรรณ เทพสุทิน เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เมื่อนายสมชาย นายกรัฐมนตรี พ้นจากตำแหน่ ทำให้คณะรัฐมนตรีทั้งคณะต้องพ้นจากตำแหน่งด้วย(รัฐธรรมนูญ มาตรา 180(1) แต่เนื่องจากรัฐธรรมนูญมาตรา 181 บัญญัติให้ คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่เข้ารับหน้าที่ จึงทำมีอยู่ ครม.ทั้งหมดที่มีอยู่ 34 คนสามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ 22 คนเนื่องจาก 12 คนถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ซึ่งทั้ง 21 คนสามารถเรียกประชุมเพื่อลงมติให้รัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีจนกว่าจะมีการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่
สำหรับรัฐมนตรีที่เหลือ 22 คนประกอบด้วย
พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล เป็น รองนายกรัฐมนตรี
นายโอฬาร ไชยประวัติ เป็น รองนายกรัฐมนตรี
พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์ เป็น รองนายกรัฐมนตรี
นายสุพล ฟองงาม เป็น รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
ร้อยตรีหญิง ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี เป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
นายอุดมเดช รัตนเสถียร เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
นายสันติ พร้อมพัฒน์ เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
นายโสภณ ซารัมย์ เป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
นายมั่น พัธโนทัย เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
พันตำรวจโท บรรยิน ตั้งภากรณ์ เป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข เป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
นายประสงค์ โฆษิตานนท์ เป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
นางอุไรวรรณ เทียนทอง เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม
นายวุฒิพงศ์ ฉายแสง เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
นายวิชาญ มีนชัยนันท์ เป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข
พลตำรวจเอก ประชา พรหมนอก เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
แหล่งข้อมูล
เตรียมเปิดศูนย์เช็คอินเพิ่มที่เมืองทองธานี
รมว.ท่องเที่ยว จะเปิดศูนย์เช็คอินที่เมืองทองเพิ่ม ทอท.คาด 7วันตรวจสอบความพร้อมสุวรรณภูมิ หลังพันธมิตรฯ ออก แอร์เอเซีย-บินไทยจัดเที่ยวบินพิเศษรองรับหลายเส้นทาง
กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา แถลงข่าวการเปิดใช้ศูนย์เช็กอินที่จะอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวในการเดินทางออกนอกประเทศ หลังจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไม่สามารถใช้งานได้ โดยศูนย์แรกที่เปิดทำการขณะนี้ตั้งอยู่ที่ศูนย์ประชุมไบเทค บางนา สามารถทยอยส่งนักท่องเที่ยวที่ติดค้างไปแล้วจำนวนมาก และคาดว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 10 วัน นักท่องเที่ยวทั้ง 200,000 คนที่ติดค้างอยู่จะได้กลับบ้าน
โดยแนะนำให้นักท่องเที่ยวมาเช็กอินก่อนเดินทาง 7 ชั่วโมง ผ่านขั้นตอนออกบัตรที่นั่งโดยสาร เช็กกระเป๋า ขั้นตอนศุลกากรและมีรถรถส่งไปยังสนามบินอู่ตะเภา ซึ่งศูนย์จะเปิดทำการ 24 ชั่วโมง ส่วนจุดเช็กอินในเมืองที่เป็นโรงแรมทั้ง 6 แห่งในกรุงเทพฯ จะปิดทำการลงในวันนี้
นอกจากนี้ ยังมีแผนเพิ่มจุดเช็กอินอีก 1 แห่ง ที่ศูนย์แสดงสินค้าอิมแพค เมืองทองธานี สำหรับผู้โดยสารที่จะออกเดินทางจากสนามบิน จ.นครราชสีมา ซึ่งขณะนี้ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจาก 2 สนามบินใน จ.นครราชสีมา ได้แก่ สนามบินกองบินที่ 1 กองทัพอากาศ สามารถรองรับเครื่องบินขนาด 150 ที่นั่ง หรือโบอิ้ง 737 จอดพร้อมกันได้ 3 ลำ และสนามบินขนส่งทางอากาศ ที่เตรียมไว้สำหรับการเดินทางในประเทศเพื่อสำรองในการย้ายเครื่องบินที่จะบินลงที่อู่ตะเภามาลงที่นี่แทน
นายวีระศักดิ์ กล่าวด้วยว่า ส่วนคนไทยที่ยังไม่สามารถกลับประเทศได้ รัฐบาลจะออกค่าที่พัก อาหาร วันละ 2,000 บาท/คนให้ จนกว่าจะกลับมาถึงประเทศไทย โดยให้ติดต่อสถานกงสุลที่ตกค้างอยู่ สำหรับการจะเปิดใช้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ คาดว่าน่าจะใช้เวลาอย่างน้อย 5 วันทันทีที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยย้ายออกไป จากนั้น นายวีระศักดิ์ ได้เดินทางไปยังเมืองทองธานี เพื่อดำเนินการให้ใช้ศูนย์เช็กอินให้เร็วที่สุด คาดว่าไม่เกิน 2 วัน
ด้านตัวแทนคณะกรรมการดำเนินการธุรกิจการบินในกรุงเทพฯ แนะนำให้ผู้โดยสารที่เดินทางให้ตรวจสอบกับสายการบินอย่างน้อย 1 สัปดาห์ พร้อมยืนยันสายการบินต่าง ๆ ยังประสงค์จะมาลงในไทยแต่ไม่ใช่กรุงเทพฯ รวมทั้งสนามบินทั้งอู่ตะเภา ภูเก็ต เชียงใหม่ มีข้อจำกัดยังรองรับผู้โดยสารได้ไม่มาก จึงทำให้สายการบินเข้าประเทศมีน้อย
นายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ รักษาการรักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.และผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กล่าวว่า ขณะนี้เครื่องบินที่ตกค้างที่สนามบินสุวรรณภูมิกำลังทยอยบินออกอย่างต่อเนื่องจากทั้งหมด 88 ลำ เพื่อไปช่วยการข่นส่งผู้โดยสารที่ตกค้างที่สนามบินอูตะเภาจ.ระยอง
แต่ทอท.ไม่ได้กำหนดเวลา ขึ้นอยู่กับความพร้อมของกัปตันและลูกเรือเท่านั้นว่าจะนำเครื่องบินขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้
อย่างไรก็ตาม ถ้ากลุ่มพันธมิตรเลิกชุมนุมแล้วถอนออกจากสนามบิน ทอท.ก็ต้องประเมินจากความพร้อมของสนามบินว่าจะสามารถกลับมาใช้งานได้ตามปกติเมื่อไหร่ และต้องกลับไปตรวจสอบสถานที่และสิ่งของภายในอาคารผู้โดยสารอีกครั้งว่ามีส่วนไหนต้องซ่อมแซมเพื่อให้สนามบินสุวรรณภูมิกลับมาใช้งานโดยเร็วที่สุดซึ่งคิดว่าประมาณ 7 วันหลังการเลิกชุมนุมของพันธมิตร
ด้านแอร์เอเซียแจ้งว่าได้จัดเที่ยวบินพิเศษจากสนามบินนานาชาติเชียงใหม่ สนามบินนานาชาติภูเก็ต และสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา จ.ระยอง ไปยังจุดหมายปลายทางในภูมิภาคกว่า 10 เส้นทาง เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้โดยสาร ที่ยังตกค้างอยู่เป็นจำนวนมากกลับภูมิลำเนา สามารถสำรองที่นั่งได้ที่ www.airasia.com
ส่วนการบินไทยจัดเที่ยวบินพิเศษ 34 เที่ยวบิน ขาออกจากท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา 14 เที่ยวบิน ท่าอากาศยานเชียงใหม่ 1 เที่ยวบิน ท่าอากาศยานภูเก็ต 2 เที่ยวบิน เที่ยวบินขาเข้าท่าอากาศยานอู่ตะเภา 16 เที่ยวบิน ท่าอากาศยานเชียงใหม่ 1 เที่ยว และ ท่าอากาศยานภูเก็ต 2 เที่ยวบิน ผู้โดยสารสามารถสำรองที่นั่งและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0-2356-1111 และ 0-2545-4000 หรือ www.thaiairway.com แหล่งข้อมูล
ทอท.เปิดให้บริการได้แล้วเร่งส่งนักท่องเที่ยวกลับบ้าน
นักท่องเที่ยวต่างชาติแห่เช็กอินที่ศูนย์ไบเทค บางนาเพียบ หลัง ทอท.เปิดให้บริการได้แล้วตั้งแต่เช้าวันที่ 1 ธ.ค. การบินไทยเปิด 32 เที่ยวบินทั้งขาออก-ขาเข้า คาดวันแรกส่งกลับนักท่องเที่ยวได้ 4-5 พันคน ด้านสายการบินต่างชาติส่งเครื่องลงที่ภูเก็ต รับคนของตัวเองกลับบ้าน
หลังจากปิดให้บริการสนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมือง ตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ทำให้มีผู้โดยสารชาวต่างชาติตกค้างไม่สามารถเดินทางกลับประเทศได้จำนวนมาก บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. พยายามประสานไปยังทุกหน่วยงาน ทั้งสายการบินต่างๆ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อแก้ปัญหาเป็นการชั่วคราว โดยขณะนี้ ทอท.สามารถเปิดเช็กอินสำหรับชาวต่างชาติ เพื่อไปขึ้นเครื่องบินที่สนามบินอู่ตะเภาได้แล้ว
ทอท.ได้ใช้ศูนย์แสดงสินค้า นิทรรศการ และการประชุมไบเทค บางนา เพื่อให้บริการเช็กอิน โดยเริ่มเปิดบริการตั้งแต่เวลา 06.00 น. วันที่ 1 ธันวาคม ที่ผ่านมา ซึ่งจะช่วยลดอุปสรรคการให้บริการที่ล่าช้าของสนามบินอู่ตะเภา ที่มีผู้โดยสารหนาแน่นได้ในระดับหนึ่ง โดยที่ไบเทคจะเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง ผู้โดยสารชาวต่างชาติสามารถตรวจสอบเส้นทางและการเดินทางได้ที่ไบเทค หรือโทร.0-2749-3974, 0-2749-3982
รายละเอียดของจุดเช็กอินที่ไบเทคนั้น ทอท.และการบินไทยได้จัดเคาน์เตอร์เช็กอิน 37 เคาน์เตอร์ ทีจี 20 เคาน์เตอร์ บางกอกไฟลท์เซอร์วิส 7 เคาน์เตอร์ การบินกรุงเทพ 4 เคาน์เตอร์ เคาน์เตอร์ทั่วไป 6 เคาน์เตอร์ นอกจากนี้ยังมีเคาน์เตอร์ตรวจหนังสือเดินทาง 20 เคาน์เตอร์ 40 ช่องตรวจ และจัดสิ่งอำนวยความสะดวกให้แก่สายการบินเป็นสำนักงานให้บริการแก่สายการบินต่างๆ จัดเตรียมเอกสารปฏิบัติการมีจุดตรวจค้นผู้โดยสาร 2 จุด จุดละ 2 เครื่อง รวมทั้งจุดอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสารรองรับได้ครั้งละ 300 คน เช่น ร้านค้า เคาน์เตอร์บัตรโดยสาร เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ เคาน์เตอร์ศุลกากร และบริการทางการแพทย์ ที่ผ่านมา ทอท.ได้นำเครื่องเอกซเรย์สัมภาระ 4 เครื่อง มาเปิดบริการที่ไบเทค รวมทั้งนำเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมาให้บริการ เช่น เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการสายพานลำเลียงแล้วจำนวนหนึ่ง
แหล่งข้อมูล
กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา แถลงข่าวการเปิดใช้ศูนย์เช็กอินที่จะอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวในการเดินทางออกนอกประเทศ หลังจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไม่สามารถใช้งานได้ โดยศูนย์แรกที่เปิดทำการขณะนี้ตั้งอยู่ที่ศูนย์ประชุมไบเทค บางนา สามารถทยอยส่งนักท่องเที่ยวที่ติดค้างไปแล้วจำนวนมาก และคาดว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 10 วัน นักท่องเที่ยวทั้ง 200,000 คนที่ติดค้างอยู่จะได้กลับบ้าน
โดยแนะนำให้นักท่องเที่ยวมาเช็กอินก่อนเดินทาง 7 ชั่วโมง ผ่านขั้นตอนออกบัตรที่นั่งโดยสาร เช็กกระเป๋า ขั้นตอนศุลกากรและมีรถรถส่งไปยังสนามบินอู่ตะเภา ซึ่งศูนย์จะเปิดทำการ 24 ชั่วโมง ส่วนจุดเช็กอินในเมืองที่เป็นโรงแรมทั้ง 6 แห่งในกรุงเทพฯ จะปิดทำการลงในวันนี้
นอกจากนี้ ยังมีแผนเพิ่มจุดเช็กอินอีก 1 แห่ง ที่ศูนย์แสดงสินค้าอิมแพค เมืองทองธานี สำหรับผู้โดยสารที่จะออกเดินทางจากสนามบิน จ.นครราชสีมา ซึ่งขณะนี้ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจาก 2 สนามบินใน จ.นครราชสีมา ได้แก่ สนามบินกองบินที่ 1 กองทัพอากาศ สามารถรองรับเครื่องบินขนาด 150 ที่นั่ง หรือโบอิ้ง 737 จอดพร้อมกันได้ 3 ลำ และสนามบินขนส่งทางอากาศ ที่เตรียมไว้สำหรับการเดินทางในประเทศเพื่อสำรองในการย้ายเครื่องบินที่จะบินลงที่อู่ตะเภามาลงที่นี่แทน
นายวีระศักดิ์ กล่าวด้วยว่า ส่วนคนไทยที่ยังไม่สามารถกลับประเทศได้ รัฐบาลจะออกค่าที่พัก อาหาร วันละ 2,000 บาท/คนให้ จนกว่าจะกลับมาถึงประเทศไทย โดยให้ติดต่อสถานกงสุลที่ตกค้างอยู่ สำหรับการจะเปิดใช้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ คาดว่าน่าจะใช้เวลาอย่างน้อย 5 วันทันทีที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยย้ายออกไป จากนั้น นายวีระศักดิ์ ได้เดินทางไปยังเมืองทองธานี เพื่อดำเนินการให้ใช้ศูนย์เช็กอินให้เร็วที่สุด คาดว่าไม่เกิน 2 วัน
ด้านตัวแทนคณะกรรมการดำเนินการธุรกิจการบินในกรุงเทพฯ แนะนำให้ผู้โดยสารที่เดินทางให้ตรวจสอบกับสายการบินอย่างน้อย 1 สัปดาห์ พร้อมยืนยันสายการบินต่าง ๆ ยังประสงค์จะมาลงในไทยแต่ไม่ใช่กรุงเทพฯ รวมทั้งสนามบินทั้งอู่ตะเภา ภูเก็ต เชียงใหม่ มีข้อจำกัดยังรองรับผู้โดยสารได้ไม่มาก จึงทำให้สายการบินเข้าประเทศมีน้อย
นายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ รักษาการรักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.และผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กล่าวว่า ขณะนี้เครื่องบินที่ตกค้างที่สนามบินสุวรรณภูมิกำลังทยอยบินออกอย่างต่อเนื่องจากทั้งหมด 88 ลำ เพื่อไปช่วยการข่นส่งผู้โดยสารที่ตกค้างที่สนามบินอูตะเภาจ.ระยอง
แต่ทอท.ไม่ได้กำหนดเวลา ขึ้นอยู่กับความพร้อมของกัปตันและลูกเรือเท่านั้นว่าจะนำเครื่องบินขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้
อย่างไรก็ตาม ถ้ากลุ่มพันธมิตรเลิกชุมนุมแล้วถอนออกจากสนามบิน ทอท.ก็ต้องประเมินจากความพร้อมของสนามบินว่าจะสามารถกลับมาใช้งานได้ตามปกติเมื่อไหร่ และต้องกลับไปตรวจสอบสถานที่และสิ่งของภายในอาคารผู้โดยสารอีกครั้งว่ามีส่วนไหนต้องซ่อมแซมเพื่อให้สนามบินสุวรรณภูมิกลับมาใช้งานโดยเร็วที่สุดซึ่งคิดว่าประมาณ 7 วันหลังการเลิกชุมนุมของพันธมิตร
ด้านแอร์เอเซียแจ้งว่าได้จัดเที่ยวบินพิเศษจากสนามบินนานาชาติเชียงใหม่ สนามบินนานาชาติภูเก็ต และสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา จ.ระยอง ไปยังจุดหมายปลายทางในภูมิภาคกว่า 10 เส้นทาง เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้โดยสาร ที่ยังตกค้างอยู่เป็นจำนวนมากกลับภูมิลำเนา สามารถสำรองที่นั่งได้ที่ www.airasia.com
ส่วนการบินไทยจัดเที่ยวบินพิเศษ 34 เที่ยวบิน ขาออกจากท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา 14 เที่ยวบิน ท่าอากาศยานเชียงใหม่ 1 เที่ยวบิน ท่าอากาศยานภูเก็ต 2 เที่ยวบิน เที่ยวบินขาเข้าท่าอากาศยานอู่ตะเภา 16 เที่ยวบิน ท่าอากาศยานเชียงใหม่ 1 เที่ยว และ ท่าอากาศยานภูเก็ต 2 เที่ยวบิน ผู้โดยสารสามารถสำรองที่นั่งและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0-2356-1111 และ 0-2545-4000 หรือ www.thaiairway.com แหล่งข้อมูล
ทอท.เปิดให้บริการได้แล้วเร่งส่งนักท่องเที่ยวกลับบ้าน
นักท่องเที่ยวต่างชาติแห่เช็กอินที่ศูนย์ไบเทค บางนาเพียบ หลัง ทอท.เปิดให้บริการได้แล้วตั้งแต่เช้าวันที่ 1 ธ.ค. การบินไทยเปิด 32 เที่ยวบินทั้งขาออก-ขาเข้า คาดวันแรกส่งกลับนักท่องเที่ยวได้ 4-5 พันคน ด้านสายการบินต่างชาติส่งเครื่องลงที่ภูเก็ต รับคนของตัวเองกลับบ้าน
หลังจากปิดให้บริการสนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมือง ตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ทำให้มีผู้โดยสารชาวต่างชาติตกค้างไม่สามารถเดินทางกลับประเทศได้จำนวนมาก บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. พยายามประสานไปยังทุกหน่วยงาน ทั้งสายการบินต่างๆ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อแก้ปัญหาเป็นการชั่วคราว โดยขณะนี้ ทอท.สามารถเปิดเช็กอินสำหรับชาวต่างชาติ เพื่อไปขึ้นเครื่องบินที่สนามบินอู่ตะเภาได้แล้ว
ทอท.ได้ใช้ศูนย์แสดงสินค้า นิทรรศการ และการประชุมไบเทค บางนา เพื่อให้บริการเช็กอิน โดยเริ่มเปิดบริการตั้งแต่เวลา 06.00 น. วันที่ 1 ธันวาคม ที่ผ่านมา ซึ่งจะช่วยลดอุปสรรคการให้บริการที่ล่าช้าของสนามบินอู่ตะเภา ที่มีผู้โดยสารหนาแน่นได้ในระดับหนึ่ง โดยที่ไบเทคจะเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง ผู้โดยสารชาวต่างชาติสามารถตรวจสอบเส้นทางและการเดินทางได้ที่ไบเทค หรือโทร.0-2749-3974, 0-2749-3982
รายละเอียดของจุดเช็กอินที่ไบเทคนั้น ทอท.และการบินไทยได้จัดเคาน์เตอร์เช็กอิน 37 เคาน์เตอร์ ทีจี 20 เคาน์เตอร์ บางกอกไฟลท์เซอร์วิส 7 เคาน์เตอร์ การบินกรุงเทพ 4 เคาน์เตอร์ เคาน์เตอร์ทั่วไป 6 เคาน์เตอร์ นอกจากนี้ยังมีเคาน์เตอร์ตรวจหนังสือเดินทาง 20 เคาน์เตอร์ 40 ช่องตรวจ และจัดสิ่งอำนวยความสะดวกให้แก่สายการบินเป็นสำนักงานให้บริการแก่สายการบินต่างๆ จัดเตรียมเอกสารปฏิบัติการมีจุดตรวจค้นผู้โดยสาร 2 จุด จุดละ 2 เครื่อง รวมทั้งจุดอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสารรองรับได้ครั้งละ 300 คน เช่น ร้านค้า เคาน์เตอร์บัตรโดยสาร เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ เคาน์เตอร์ศุลกากร และบริการทางการแพทย์ ที่ผ่านมา ทอท.ได้นำเครื่องเอกซเรย์สัมภาระ 4 เครื่อง มาเปิดบริการที่ไบเทค รวมทั้งนำเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมาให้บริการ เช่น เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการสายพานลำเลียงแล้วจำนวนหนึ่ง
แหล่งข้อมูล
การบินไทยจัดเที่ยวบินพิเศษขนผู้โดยสารที่ตกค้าง
การบินไทยจัดเที่ยวบินพิเศษขนผู้โดยสารที่ตกค้าง โดยวันที่ 2 ธันวาคม 2551 บริษัทได้จัดเที่ยวบินพิเศษ 34 เที่ยวบิน
เที่ยวบินขาออก จากท่าอากาศยานอู่ตะเภา จำนวน 14 เที่ยวบิน
เที่ยวบิน เส้นทาง เวลาออก เวลาถึง
TG 1049 อู่ตะเภา – เชียงใหม่ 10.00 11.10
TG 2099*อู่ตะเภา – ภูเก็ต 10.25 11.45
TG 9209 อู่ตะเภา – แฟรงก์เฟิร์ต 23.40 05.30 /3 ธ.ค.
TG 9509 อู่ตะเภา – โคเปนเฮเกน00.50 06.35
TG 6069 อู่ตะเภา - ฮ่องกง 16.00 19.45
TG 6409 อู่ตะเภา – นาริตะ 22.35 06.15 /3 ธ.ค.
TG 6589 อู่ตะเภา – โซล 23.45 07.55 /3 ธ.ค.
TG 9959 อู่ตะเภา – ซิดนีย์ 23.59 13.10 /3 ธ.ค.
TG 3159 อู่ตะเภา – เดลลี 19.50 22.45
TG 4179 อู่ตะเภา–กัวลาลัมเปอร์ 16.40 19.50
TG 6769 อู่ตะเภา – นาริตะ 11.00 18.40
TG 7949 อู่ตะเภา-ลอสแองเจลิส 19.30 19.20
TG 8820 อู่ตะเภา – พุทธคยา 12.10 14.00
TG 6209 อู่ตะเภา - โอซากา 9.00 02.10 /3 ธ.ค.
สำหรับผู้โดยสาร (เฉพาะที่ได้รับการยืนยันการเดินทาง) ที่จะเดินทางไปขึ้นเครื่องบินที่ท่าอากาศยานอู่ตะเภา ขอความกรุณาให้ผู้โดยสาร เดินทางไปขึ้นรถและเช็คอิน ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ก่อนเวลาเครื่องบินออก อย่างน้อย 7 ชั่วโมง
เที่ยวบินขาออกจาก ท่าอากาศยานเชียงใหม่ จำนวน 1 เที่ยวบิน
เที่ยวบิน เส้นทาง เวลาออก เวลาถึงที่หมาย
TG 1299 เชียงใหม่ – ภูเก็ต 12.30 14.25
เที่ยวบินขาออก จากท่าอากาศยานภูเก็ต จำนวน 2 เที่ยวบิน
เที่ยวบิน เส้นทาง เวลาออก เวลาถึงที่หมาย
TG 9229 ภูเก็ต – แฟรงก์เฟิร์ต 13.20 19.10
TG 6429 ภูเก็ต – นาริตะ 23.50 07.30 / 3 ธ.ค.
เที่ยวบินขาเข้า ท่าอากาศยานอู่ตะเภา จำนวน 16 เที่ยวบิน
เที่ยวบิน เส้นทาง เวลาออก เวลาถึง
TG 1179 เชียงใหม่ - อู่ตะเภา 19.15 20.25
TG 2109 ภูเก็ต – อู่ตะเภา 12.35 14.00
TG 2169 ภูเก็ต – อู่ตะเภา 15.40 17.00
TG 9219 แฟรงก์เฟิร์ต – อู่ตะเภา 14.10 06.20/ 3 ธ.ค.
TG 4189 กัวลาลัมเปอร์–อู่ตะเภา 21.00 22.05
TG 6779 นาริตะ – อู่ตะเภา 19.40 00.40 / 3 ธ.ค.
TG 6419 นาริตะ – อู่ตะเภา 10.45 15.45
TG 6731 โอซาก้า – อู่ตะเภา 00.30 05.00
TG 6078 ฮ่องกง – อู่ตะเภา 20.45 22.30
TG 9519 โคเปนเฮเกน – อู่ตะเภา 14.30 06.50 / 3 ธ.ค.
TG 6599 โซล– อู่ตะเภา 10.55 13.55
TG 9969 ซิดนีย์ – อู่ตะเภา 16.40 22.00
TG 3169 เดลลี – อู่ตะเภา 00.05 05.35
TG 7959 ลอสแองเจลิส –อู่ตะเภา 21.30 06.30 / 4 ธ.ค.
TG 8821 พุทธคยา - อู่ตะเภา 14.45 19.35
TG 4109 สิงคโปร์ - อู่ตะเภา 18.25 20.25
สำหรับผู้โดยสารที่เดินทางมาถึงท่าอากาศยานอู่ตะเภา จะมีรถมาส่งที่ หน้าอาคาร 5 สำนักงานใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)
เที่ยวบินขาเข้า ท่าอากาศยานภูเก็ต จำนวน 1 เที่ยวบิน
เที่ยวบิน เส้นทาง เวลาออก เวลาถึง
TG 9239 แฟรงก์เฟิร์ต - ภูเก็ต 20.55 13.05 / 3 ธ.ค.
ผู้โดยสารที่ต้องการสอบถามข้อมูลด้านบัตรโดยสารหรือสำรองที่นั่งหรือเปลี่ยนแปลงการเดินทาง
ติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-356-1111 หรือสอบถามข้อมูลทั่วไป ติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-545-4000 หรือ www.thaiairways.com แหล่งข้อมูล
เที่ยวบินขาออก จากท่าอากาศยานอู่ตะเภา จำนวน 14 เที่ยวบิน
เที่ยวบิน เส้นทาง เวลาออก เวลาถึง
TG 1049 อู่ตะเภา – เชียงใหม่ 10.00 11.10
TG 2099*อู่ตะเภา – ภูเก็ต 10.25 11.45
TG 9209 อู่ตะเภา – แฟรงก์เฟิร์ต 23.40 05.30 /3 ธ.ค.
TG 9509 อู่ตะเภา – โคเปนเฮเกน00.50 06.35
TG 6069 อู่ตะเภา - ฮ่องกง 16.00 19.45
TG 6409 อู่ตะเภา – นาริตะ 22.35 06.15 /3 ธ.ค.
TG 6589 อู่ตะเภา – โซล 23.45 07.55 /3 ธ.ค.
TG 9959 อู่ตะเภา – ซิดนีย์ 23.59 13.10 /3 ธ.ค.
TG 3159 อู่ตะเภา – เดลลี 19.50 22.45
TG 4179 อู่ตะเภา–กัวลาลัมเปอร์ 16.40 19.50
TG 6769 อู่ตะเภา – นาริตะ 11.00 18.40
TG 7949 อู่ตะเภา-ลอสแองเจลิส 19.30 19.20
TG 8820 อู่ตะเภา – พุทธคยา 12.10 14.00
TG 6209 อู่ตะเภา - โอซากา 9.00 02.10 /3 ธ.ค.
สำหรับผู้โดยสาร (เฉพาะที่ได้รับการยืนยันการเดินทาง) ที่จะเดินทางไปขึ้นเครื่องบินที่ท่าอากาศยานอู่ตะเภา ขอความกรุณาให้ผู้โดยสาร เดินทางไปขึ้นรถและเช็คอิน ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ก่อนเวลาเครื่องบินออก อย่างน้อย 7 ชั่วโมง
เที่ยวบินขาออกจาก ท่าอากาศยานเชียงใหม่ จำนวน 1 เที่ยวบิน
เที่ยวบิน เส้นทาง เวลาออก เวลาถึงที่หมาย
TG 1299 เชียงใหม่ – ภูเก็ต 12.30 14.25
เที่ยวบินขาออก จากท่าอากาศยานภูเก็ต จำนวน 2 เที่ยวบิน
เที่ยวบิน เส้นทาง เวลาออก เวลาถึงที่หมาย
TG 9229 ภูเก็ต – แฟรงก์เฟิร์ต 13.20 19.10
TG 6429 ภูเก็ต – นาริตะ 23.50 07.30 / 3 ธ.ค.
เที่ยวบินขาเข้า ท่าอากาศยานอู่ตะเภา จำนวน 16 เที่ยวบิน
เที่ยวบิน เส้นทาง เวลาออก เวลาถึง
TG 1179 เชียงใหม่ - อู่ตะเภา 19.15 20.25
TG 2109 ภูเก็ต – อู่ตะเภา 12.35 14.00
TG 2169 ภูเก็ต – อู่ตะเภา 15.40 17.00
TG 9219 แฟรงก์เฟิร์ต – อู่ตะเภา 14.10 06.20/ 3 ธ.ค.
TG 4189 กัวลาลัมเปอร์–อู่ตะเภา 21.00 22.05
TG 6779 นาริตะ – อู่ตะเภา 19.40 00.40 / 3 ธ.ค.
TG 6419 นาริตะ – อู่ตะเภา 10.45 15.45
TG 6731 โอซาก้า – อู่ตะเภา 00.30 05.00
TG 6078 ฮ่องกง – อู่ตะเภา 20.45 22.30
TG 9519 โคเปนเฮเกน – อู่ตะเภา 14.30 06.50 / 3 ธ.ค.
TG 6599 โซล– อู่ตะเภา 10.55 13.55
TG 9969 ซิดนีย์ – อู่ตะเภา 16.40 22.00
TG 3169 เดลลี – อู่ตะเภา 00.05 05.35
TG 7959 ลอสแองเจลิส –อู่ตะเภา 21.30 06.30 / 4 ธ.ค.
TG 8821 พุทธคยา - อู่ตะเภา 14.45 19.35
TG 4109 สิงคโปร์ - อู่ตะเภา 18.25 20.25
สำหรับผู้โดยสารที่เดินทางมาถึงท่าอากาศยานอู่ตะเภา จะมีรถมาส่งที่ หน้าอาคาร 5 สำนักงานใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)
เที่ยวบินขาเข้า ท่าอากาศยานภูเก็ต จำนวน 1 เที่ยวบิน
เที่ยวบิน เส้นทาง เวลาออก เวลาถึง
TG 9239 แฟรงก์เฟิร์ต - ภูเก็ต 20.55 13.05 / 3 ธ.ค.
ผู้โดยสารที่ต้องการสอบถามข้อมูลด้านบัตรโดยสารหรือสำรองที่นั่งหรือเปลี่ยนแปลงการเดินทาง
ติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-356-1111 หรือสอบถามข้อมูลทั่วไป ติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-545-4000 หรือ www.thaiairways.com แหล่งข้อมูล
สายการบินไทยแอร์เอเชีย
สายการบินไทยแอร์เอเชีย ประกาศเปิดเที่ยวบินพิเศษที่เดินทางออกจากจากสนามบิน 3 แห่ง ได้แก่ สนามบินนานาชาติเชียงใหม่ สนามบินนานาชาติภูเก็ต และสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา
สำหรับตารางการบินนี้ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม เป็นต้นไป
จากสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา
เที่ยวบินที่ เส้นทางบิน เวลาออกเดินทาง เวลาถึงที่หมาย
FD 4693 อู่ตะเภา - ภูเก็ต 17:50 21:35
FD 4694 ภูเก็ต - อู่ตะเภา 22:05 0:05
FD 4501 อู่ตะเภา - สิงคโปร์ 12:00 15:20
FD4502 สิงคโปร์ - อู่ตะเภา 15:50 17:10
FD4622 อู่ตะเภา - เซินเจิ้น 18:10 22:10
FD4623 เซินเจิ้น - อู่ตะเภา 22:40 0:40
FD4691 อู่ตะเภา - อ่องกง 13:00 16:45
FD4692 ฮ่องกง - อู่ตะเภา 17:15 19:15
FD4503 อู่ตะเภา - สิงคโปร์ 20:15 23:35
FD4504 สิงคโปร์ - อู่ตะเภา 0:05 1:25
จากสนามบินนานาชาติเชียงใหม่
เที่ยวบินที่ เส้นทางบิน เวลาออกเดินทาง เวลาถึงที่หมาย
FD4150 เชียงใหม่ - สิงคโปร์ 8:00 12:00
FD4151 สิงคโปร์ - เชียงใหม่ 12:30 14:30
FD4232 เชียงใหม่ - อู่ตะเภา 15:00 16:10
FD4233 อู่ตะเภา - เชียงใหม่ 17:10 18:20
FD4571 เชียงใหม่-กัวลาลัมเปอร์ 09:50 12:35
FD4572 กัวลาลัมเปอร์-เชียงใหม่ 13:05 13:45
จากสนามบินนานาชาติภูเก็ต
เที่ยวบินที่ เส้นทางบิน เวลาออกเดินทาง เวลาถึงที่หมาย
FD4524 ภูเก็ต – สิงคโปร์ 9:50 12:35
FD4525 สิงคโปร์ – ภูเก็ต 13:05 13:45
FD4021 ภูเก็ต – อู่ตะเภา 12:30 13:50
FD4022 อู่ตะเภา – ภูเก็ต 14:50 16:10
FD4575 ภูเก็ต – กัวลาลัมเปอร์ 9:00 11:30
FD4576 กัวลาลัมเปอร์ - ภูเก็ต 12:00 12:30
ผู้โดยสารที่มีความประสงค์จะสำรองที่นั่งออนไลน์ กรุณาไปที่ www.airasia.com หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ เคาน์เตอร์จำหน่ายบัตรโดยสาร ณ สนามบินนานาชาติเชียงใหม่ ที่หมายเลข +66 (0) 53 904 800-3 หรือ ศูนย์จำหน่ายบัตรโดยสาร สาขาประตูท่าแพ หมายเลข +66 (0) 53 234 645
สำหรับผู้โดยสารในจังหวัดภูเก็ต และบริเวณใกล้เคียง กรุณาติดต่อเคาน์เตอร์จำหน่ายบัตรโดยสารประจำสนามบินนานาชาติภูเก็ต ที่หมายเลข+66 (0) 76 328 601-2 ได้ทุกวัน ระหว่างเวลา 6.00 น. ถึง 10.00 น.
สำหรับผู้โดยสารที่ถูกยกเลิกเที่ยวบิน และมีความประสงค์ที่จะขอเปลี่ยนแปลงกำหนดการเดินทาง กรุณาติดต่อศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ที่ หมายเลข +66 (0) 2 515 9999 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนั้น สายการบินขอแนะนำให้ผู้โดยสารทุกท่าน ตรวจสอบข้อมูลการเดินทางล่าสุดด้วยตนเองที่ www.airasia.com ก่อนออกเดินทางมายังสนามบิน แหล่งข้อมูล
สำหรับตารางการบินนี้ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม เป็นต้นไป
จากสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา
เที่ยวบินที่ เส้นทางบิน เวลาออกเดินทาง เวลาถึงที่หมาย
FD 4693 อู่ตะเภา - ภูเก็ต 17:50 21:35
FD 4694 ภูเก็ต - อู่ตะเภา 22:05 0:05
FD 4501 อู่ตะเภา - สิงคโปร์ 12:00 15:20
FD4502 สิงคโปร์ - อู่ตะเภา 15:50 17:10
FD4622 อู่ตะเภา - เซินเจิ้น 18:10 22:10
FD4623 เซินเจิ้น - อู่ตะเภา 22:40 0:40
FD4691 อู่ตะเภา - อ่องกง 13:00 16:45
FD4692 ฮ่องกง - อู่ตะเภา 17:15 19:15
FD4503 อู่ตะเภา - สิงคโปร์ 20:15 23:35
FD4504 สิงคโปร์ - อู่ตะเภา 0:05 1:25
จากสนามบินนานาชาติเชียงใหม่
เที่ยวบินที่ เส้นทางบิน เวลาออกเดินทาง เวลาถึงที่หมาย
FD4150 เชียงใหม่ - สิงคโปร์ 8:00 12:00
FD4151 สิงคโปร์ - เชียงใหม่ 12:30 14:30
FD4232 เชียงใหม่ - อู่ตะเภา 15:00 16:10
FD4233 อู่ตะเภา - เชียงใหม่ 17:10 18:20
FD4571 เชียงใหม่-กัวลาลัมเปอร์ 09:50 12:35
FD4572 กัวลาลัมเปอร์-เชียงใหม่ 13:05 13:45
จากสนามบินนานาชาติภูเก็ต
เที่ยวบินที่ เส้นทางบิน เวลาออกเดินทาง เวลาถึงที่หมาย
FD4524 ภูเก็ต – สิงคโปร์ 9:50 12:35
FD4525 สิงคโปร์ – ภูเก็ต 13:05 13:45
FD4021 ภูเก็ต – อู่ตะเภา 12:30 13:50
FD4022 อู่ตะเภา – ภูเก็ต 14:50 16:10
FD4575 ภูเก็ต – กัวลาลัมเปอร์ 9:00 11:30
FD4576 กัวลาลัมเปอร์ - ภูเก็ต 12:00 12:30
ผู้โดยสารที่มีความประสงค์จะสำรองที่นั่งออนไลน์ กรุณาไปที่ www.airasia.com หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ เคาน์เตอร์จำหน่ายบัตรโดยสาร ณ สนามบินนานาชาติเชียงใหม่ ที่หมายเลข +66 (0) 53 904 800-3 หรือ ศูนย์จำหน่ายบัตรโดยสาร สาขาประตูท่าแพ หมายเลข +66 (0) 53 234 645
สำหรับผู้โดยสารในจังหวัดภูเก็ต และบริเวณใกล้เคียง กรุณาติดต่อเคาน์เตอร์จำหน่ายบัตรโดยสารประจำสนามบินนานาชาติภูเก็ต ที่หมายเลข+66 (0) 76 328 601-2 ได้ทุกวัน ระหว่างเวลา 6.00 น. ถึง 10.00 น.
สำหรับผู้โดยสารที่ถูกยกเลิกเที่ยวบิน และมีความประสงค์ที่จะขอเปลี่ยนแปลงกำหนดการเดินทาง กรุณาติดต่อศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ที่ หมายเลข +66 (0) 2 515 9999 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนั้น สายการบินขอแนะนำให้ผู้โดยสารทุกท่าน ตรวจสอบข้อมูลการเดินทางล่าสุดด้วยตนเองที่ www.airasia.com ก่อนออกเดินทางมายังสนามบิน แหล่งข้อมูล
Monday, December 01, 2008
พันธมิตรสลายการชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล
เมื่อเวลา 14.00 น.นายสุชาติ ศรีใส เจ้าหน้าที่กองทัพธรรม กล่าวปราศรัยบนเวทีพันธมิตรว่า ขอสลายการชุมนุมที่ทำเนียบอย่างเป็นทางการ และขออโหสิการกระทำใดๆ และคำพูดที่ดูหมิ่นดูแคลนเจ้าที่เจ้าทาง และขอให้ผู้ชุมนุมไปถ่ายรูปเพื่อเป็นที่ระลึกและเป็นอนุสรณ์ก่อนออกจากทำเนียบรัฐบาล และขอให้ไปสมทบกันที่สนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบรรยากาศที่ทำเนียบ กลุ่มผู้ชุมนุมต่างเก็บข้าวของ รวมถึงของมีค่าอย่างทีวี พัดลม เพื่อย้ายออกจากทำเนียบ นอกจากนี้ยังมีการเก็บเต้นท์บางส่วน โดยได้มีการประกาศบนเวทีว่า จะไม่มีการถ่ายทอดสดบนเวทีที่ทำเนียบรัฐบาลอีกแล้วแหล่งข้อมูล
พระจันทร์ยิ้ม ดีใจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบรรยากาศที่ทำเนียบ กลุ่มผู้ชุมนุมต่างเก็บข้าวของ รวมถึงของมีค่าอย่างทีวี พัดลม เพื่อย้ายออกจากทำเนียบ นอกจากนี้ยังมีการเก็บเต้นท์บางส่วน โดยได้มีการประกาศบนเวทีว่า จะไม่มีการถ่ายทอดสดบนเวทีที่ทำเนียบรัฐบาลอีกแล้วแหล่งข้อมูล
พระจันทร์ยิ้ม ดีใจ
ตั้งไบเทค บางนาเป็นศูนย์เช็คอิน 24 ชม.
บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.ตั้งไบเทค บางนาเป็นศูนย์เช็คอิน 24 ชม.สำหรับชาวต่างชาติเพื่อไปขึ้นเครื่องบินที่สนามบินอู่ตะเภาแล้ว ผู้โดยสารชาวต่างชาติสามารถตรวจสอบเส้นทางและการเดินทางว่าจะมาใช้บริการได้ที่ไบเทคได้หรือไม่ที่สายการบินที่ให้บริการหรือโทร 0-2749 3974 ,0-2749 39 82 ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ ทอท.ได้นำเครื่องเอ็กซเรย์สัมภาระ จำนวน 4 ตัวมาเปิดบริการที่ไบเทค รวมทั้งนำเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมาให้บริการเช่นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการสายพานลำเลียง
แหล่งข้อมูล
บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) แจ้งขอความร่วมมือ ผู้โดยสารที่มีกำหนดการเดินทาง หลังวันที่ 15 ธันวาคม 2551 ยังไม่ต้องสำรองที่นั่งใหม่ จนกว่าสนามบินจะเปิดให้บริการตามปกติ เนื่องจากขณะนี้มีผู้โดยสารที่จำเป็นจะต้องเดินทางกลับประเทศตกค้างจำนวนมาก แหล่งข้อมูล
แหล่งข้อมูล
บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) แจ้งขอความร่วมมือ ผู้โดยสารที่มีกำหนดการเดินทาง หลังวันที่ 15 ธันวาคม 2551 ยังไม่ต้องสำรองที่นั่งใหม่ จนกว่าสนามบินจะเปิดให้บริการตามปกติ เนื่องจากขณะนี้มีผู้โดยสารที่จำเป็นจะต้องเดินทางกลับประเทศตกค้างจำนวนมาก แหล่งข้อมูล
Sunday, November 30, 2008
การท่องเที่ยวและการตกงาน
รัฐบาลใช้1พันล.ช่วยเหยื่อตกค้าง
นายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรี เรียกประชุมด่วนเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน ที่กระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกับนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และภาคเอกชนด้านการท่องเที่ยว เพื่อหาแนวทางเยียวยานักท่องเที่ยวที่ติดค้างอยู่ในประเทศ และคนไทยที่ไม่สามารถเดินทางกลับประเทศได้ ภายหลังพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) บุกยึดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานดอนเมือง
จากนั้น นายโอฬารแถลงว่า รัฐบาลมีมาตรการเยียวยานักท่องเที่ยวที่ติดค้าง และคนไทยที่ไม่สามารถเดินทางกลับประเทศได้ประมาณ 40,000-50,000 คน ตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน-25 ธันวาคม รวมระยะเวลา 1 เดือน เป็นเงินไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยค่าใช้จ่ายด้านที่พัก อาหารที่ 2,000 บาทต่อคนต่อวัน
ท่องเที่ยวทรุดทำ1ล้านคนตกงาน
รองนายกฯกล่าวว่า ปัญหาการปิดสนามบินทั้ง 2 แห่ง ส่งผลกระทบกับภาพรวมการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวของชาวต่างชาติจนถึงกลางปีหน้า คาดการณ์ว่า จำนวนนักท่องเที่ยวจะลดลงจาก 13.5-14 ล้านคน เหลือเพียงครึ่งเดียว หรืออยู่ที่ 6-7 ล้านคนในปี 2552 ส่งผลให้ผู้ประกอบการ พนักงานที่เกี่ยวข้องกับภาคธุรกิจท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมต่อเนื่องจะได้รับผลกระทบ และมีผู้ตกงานถึง 1 ล้านคน
นายโอฬารกล่าวว่า รัฐบาลนัดหารือกับภาคเอกชนทุกอุตสาหกรรมเพื่อกำหนดมาตรการเยียวยาระยะกลาง เวลา 14.00 น. ในวันที่ 1 ธันวาคม ที่กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อผ่อนปรนปัญหาครั้งนี้ซึ่งสร้างผลกระทบและความเสียหายให้กับประเทศอย่างมาก
"มาตรการเยียวยาถือเป็นโจทย์ใหญ่มาก ใหญ่กว่าทุกครั้ง และมากกว่าวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 เพราะอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเกี่ยวเนื่องกับหลายอุตสาหกรรม คิดเป็นสัดส่วนถึง 10% ของจีดีพี (ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ) อีกทั้งการปิดสนามบินครั้งนี้ยังกระทบกับการส่งออกสินค้าผ่านคาร์โก้ (คลังสินค้า) โดยเฉพาะอิเล็กทรอนิกส์ ออกไปต่างประเทศด้วย และแม้ว่าผู้ชุมนุมจะคืนสนามบิน การท่องเที่ยวช่วงไฮซีซั่นนี้นักท่องเที่ยวก็ยกเลิกหมดแล้ว และยังไม่แน่ใจว่าช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ในปีหน้ากลุ่มนักท่องเที่ยวเอเชียที่ปกติจะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวก็อาจจะยกเลิกเดินทางมาไทยด้วย" นายโอฬารกล่าว
รับปีหน้าจีดีพีอาจ0%หรือติดลบ
นอกจากการคาดการณ์อาจมีผู้ตกงานถึง 1 ล้านคนเนื่องจากภาคท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมต่อเนื่องได้รับผลกระทบจากการปิดสนามบิน นายโอฬารยังบอกด้วยว่า ปัจจัยจากภาวะเศรษฐกิจโลกตกต่ำ จะส่งผลให้มีผู้ตกงานเพิ่มขึ้น ทั้งจากแรงงานนักศึกษาจบใหม่ในปี 2552 อีกประมาณ 500,000 ราย และคนตกงานที่อยู่ในระบบอีก 500,000 ราย ทำให้จนถึงสิ้นปี 2552 มีผู้ตกงานถึง 2 ล้านคน จึงคาดการณ์ว่าการขยายตัวของจีดีพี น่าจะอยู่ที่ 0% หรือมีโอกาสติดลบ ภายใต้สถานการณ์เวลานี้ ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลา 1-2 สัปดาห์ประเมินสถานการณ์อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม การเติบโตของจีดีพีในอัตราดังกล่าวถือเป็นปีที่เลวร้ายที่สุด ขณะที่ปีนี้หากจีดีพีขยายตัวที่ระดับ 3.5% ก็ถือว่าเก่งแล้ว แหล่งข้อมูล
นายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรี เรียกประชุมด่วนเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน ที่กระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกับนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และภาคเอกชนด้านการท่องเที่ยว เพื่อหาแนวทางเยียวยานักท่องเที่ยวที่ติดค้างอยู่ในประเทศ และคนไทยที่ไม่สามารถเดินทางกลับประเทศได้ ภายหลังพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) บุกยึดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานดอนเมือง
จากนั้น นายโอฬารแถลงว่า รัฐบาลมีมาตรการเยียวยานักท่องเที่ยวที่ติดค้าง และคนไทยที่ไม่สามารถเดินทางกลับประเทศได้ประมาณ 40,000-50,000 คน ตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน-25 ธันวาคม รวมระยะเวลา 1 เดือน เป็นเงินไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยค่าใช้จ่ายด้านที่พัก อาหารที่ 2,000 บาทต่อคนต่อวัน
ท่องเที่ยวทรุดทำ1ล้านคนตกงาน
รองนายกฯกล่าวว่า ปัญหาการปิดสนามบินทั้ง 2 แห่ง ส่งผลกระทบกับภาพรวมการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวของชาวต่างชาติจนถึงกลางปีหน้า คาดการณ์ว่า จำนวนนักท่องเที่ยวจะลดลงจาก 13.5-14 ล้านคน เหลือเพียงครึ่งเดียว หรืออยู่ที่ 6-7 ล้านคนในปี 2552 ส่งผลให้ผู้ประกอบการ พนักงานที่เกี่ยวข้องกับภาคธุรกิจท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมต่อเนื่องจะได้รับผลกระทบ และมีผู้ตกงานถึง 1 ล้านคน
นายโอฬารกล่าวว่า รัฐบาลนัดหารือกับภาคเอกชนทุกอุตสาหกรรมเพื่อกำหนดมาตรการเยียวยาระยะกลาง เวลา 14.00 น. ในวันที่ 1 ธันวาคม ที่กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อผ่อนปรนปัญหาครั้งนี้ซึ่งสร้างผลกระทบและความเสียหายให้กับประเทศอย่างมาก
"มาตรการเยียวยาถือเป็นโจทย์ใหญ่มาก ใหญ่กว่าทุกครั้ง และมากกว่าวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 เพราะอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเกี่ยวเนื่องกับหลายอุตสาหกรรม คิดเป็นสัดส่วนถึง 10% ของจีดีพี (ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ) อีกทั้งการปิดสนามบินครั้งนี้ยังกระทบกับการส่งออกสินค้าผ่านคาร์โก้ (คลังสินค้า) โดยเฉพาะอิเล็กทรอนิกส์ ออกไปต่างประเทศด้วย และแม้ว่าผู้ชุมนุมจะคืนสนามบิน การท่องเที่ยวช่วงไฮซีซั่นนี้นักท่องเที่ยวก็ยกเลิกหมดแล้ว และยังไม่แน่ใจว่าช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ในปีหน้ากลุ่มนักท่องเที่ยวเอเชียที่ปกติจะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวก็อาจจะยกเลิกเดินทางมาไทยด้วย" นายโอฬารกล่าว
รับปีหน้าจีดีพีอาจ0%หรือติดลบ
นอกจากการคาดการณ์อาจมีผู้ตกงานถึง 1 ล้านคนเนื่องจากภาคท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมต่อเนื่องได้รับผลกระทบจากการปิดสนามบิน นายโอฬารยังบอกด้วยว่า ปัจจัยจากภาวะเศรษฐกิจโลกตกต่ำ จะส่งผลให้มีผู้ตกงานเพิ่มขึ้น ทั้งจากแรงงานนักศึกษาจบใหม่ในปี 2552 อีกประมาณ 500,000 ราย และคนตกงานที่อยู่ในระบบอีก 500,000 ราย ทำให้จนถึงสิ้นปี 2552 มีผู้ตกงานถึง 2 ล้านคน จึงคาดการณ์ว่าการขยายตัวของจีดีพี น่าจะอยู่ที่ 0% หรือมีโอกาสติดลบ ภายใต้สถานการณ์เวลานี้ ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลา 1-2 สัปดาห์ประเมินสถานการณ์อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม การเติบโตของจีดีพีในอัตราดังกล่าวถือเป็นปีที่เลวร้ายที่สุด ขณะที่ปีนี้หากจีดีพีขยายตัวที่ระดับ 3.5% ก็ถือว่าเก่งแล้ว แหล่งข้อมูล
Thursday, November 27, 2008
ร่ำไห้หมดแรงกู้ท่องเที่ยวไทย ผู้ว่า ททท.แถลง ข่าวสุดกลั้นวอนไทยช่วยไทย
ร่ำไห้หมดแรงกู้ท่องเที่ยวไทย ผู้ว่า ททท.แถลง ข่าวสุดกลั้นวอนไทยช่วยไทย [27 พ.ย. 51 - 04:47]
นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ตั้งศูนย์ประสานงานเจ้าหน้าที่ 4 หน่วยงาน ได้แก่ ศูนย์ปฏิบัติการในภาวะวิกฤติ (ศวก.) ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศ ไทย (ททท.), กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, สำนักงานตำรวจท่องเที่ยว และกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อรวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้กับโรงแรม บริษัทนำเที่ยว ไว้ตอบคำถามของนักท่อง เที่ยว สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นแทบประเมินไม่ได้และคงต้องใช้เวลานานกว่าจะฟื้น ขนาดกรณีสนามบินภูเก็ตผ่านมา 3 เดือนแล้ว ตอนนี้ยังไม่ฟื้นตัวเลย ดังนั้น ตอนนี้กระทรวงฯขอเดินหน้าจัดการดูแลนักท่องเที่ยวที่ยังตกค้างอยู่ในไทยก่อน ส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่กำลังจะเดินทางมาแล้วมาไม่ได้นั้น ค่อยไปจัดการทีหลัง
“เพื่อดูแลนักท่องเที่ยวที่ตกค้างที่สนามบินได้อย่างทั่วถึง ผมได้ของบกลางไม่เกิน 10 ล้านบาท มาใช้ฉุกเฉินสำหรับดูแลเรื่องค่าเดินทาง ค่าอาหารและที่พักให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ตก ค้างอยู่ โดยจะตั้งคณะกรรมการเพื่อมาดูแลการเบิกจ่ายงบกลางฉุกเฉินนี้จากภาครัฐและเอกชน รวมทั้งให้สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) และ ททท. ส่งเจ้าหน้าที่ไปดูแลนักท่องเที่ยวที่ติดค้างอยู่ เบื้องต้นมีนักท่องเที่ยวติดค้างในสนามบินสุวรรณภูมิที่หน่วยงานเหล่านี้นำออกมาจากสนามบินสุวรรณภูมิไปส่งยังที่พักต่างๆ กว่า 400 คนแล้ว”
ส่วนภาคเอกชนนั้น ไม่อยากให้ท้อแท้หมดหวังควรเข้ามาช่วยกันแก้ไขสถานการณ์ และร่วมกันกู้ชื่อเสียงการท่องเที่ยวไทยให้คืนมาด้วยการดูแลนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ตกค้างอยู่อย่างมีคุณภาพที่สุด และอยากวอนให้กลุ่มพันธมิตรฯคืนพื้นที่สนามบินสุวรรณภูมิให้เร็วที่สุด เพราะนักท่องเที่ยวไม่ใช่ คู่กรณี “ตอนนี้โรงแรมโรสการ์เด้นท์ริเวอร์ไซด์ ที่สวนสามพรานได้ประกาศเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ตกค้างอยู่ให้มาพักชมการแสดงและรับประทานอาหารกลางวันที่สวนสามพรานฟรีวันที่ 26-27 พ.ย.นี้ ขณะที่โรงแรมโซฟิเทล ลาดพร้าว ได้เปิดให้นักท่องเที่ยวที่เพิ่งเช็กเอาต์ออกไปแล้วไม่สามารถบินกลับประเทศจากกรณีที่สนามบินสุวรรณภูมิถูกปิด สามารถกลับมาพักได้ฟรี ซึ่งคิดว่าจะเป็นแบบอย่างที่ดีให้คนอื่นทำตามต่อไป”
ด้านนางพรศิริ มโนหาญ ผู้ว่าการ ททท. ได้เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการ ททท. ว่าได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ ททท. 2 คนไปประจำการที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อประสานงานกับบริษัท ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) ดูแลนักท่องเที่ยวที่ติดค้างในสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่ง ททท.สามารถนำนักท่องเที่ยวออกมาจากสนามบินสุวรรณภูมิได้หมดแล้วช่วงเย็นวันที่ 26 พ.ย. และขณะนี้ทางสมาคมโรงแรมจังหวัดกระบี่ ได้แจ้งมาแล้วว่าจะเปิดให้นักท่องเที่ยวที่ตกค้างมาพักฟรีทุกแห่งเพื่อช่วยเหลือนักท่องเที่ยว ขณะที่สิงคโปร์แอร์ไลน์ เสนอว่า หากไทยนำนักท่องเที่ยวบินมาลงที่สนามบินจังหวัดภูเก็ต ก็พร้อมส่งเครื่องบินมารับคนไปลงต่อที่สิงคโปร์ เพื่อเป็นฐานสำหรับเดินทางกลับประเทศต่อไป “ยอมรับว่าหลังจากนี้นักท่อง เที่ยวต่างชาติคงลดลงแน่นอน อย่างน้อยที่สุดจะไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในช่วงนี้และไม่แน่ใจว่านักท่องเที่ยวจะกลับมาเมื่อไหร่ ดังนั้น สิ่งที่ทำได้ ตอนนี้คือขอให้คนในประเทศช่วยกันเที่ยวในประเทศ เพื่อหนุนให้เกิดการใช้จ่าย ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการ ททท.ได้อนุมัติให้ใช้เบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย์ เป็นพรีเซ็นเตอร์ประชาสัมพันธ์โครงการสนับสนุนให้ไทยเที่ยวไทยแล้วเป็นเวลา 6 เดือน”
ทั้งนี้ จนถึงช่วงบ่ายวันที่ 26 พ.ย. ททท. ได้รวบรวมข้อมูลจากต่างประเทศพบว่ามีประเทศออกประกาศเตือนนักท่องเที่ยวให้ระมัดระวังการเดินทางมาไทยแล้วรวม 21 ประเทศ โดยมีประเทศที่เตือนระดับมาก ได้แก่ สหราชอาณาจักร, เยอรมนี, สวิตเซอร์แลนด์, แคนาดา, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, สิงคโปร์, ฮ่องกง, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย และญี่ปุ่น ระดับปานกลาง ได้แก่ ประเทศไอร์แลนด์, เดนมาร์ก, ฝรั่งเศส, อิตาลี, นอร์เวย์, รัสเซีย, สเปน, เบลเยียม, ไต้หวัน และเกาหลี
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ระหว่างที่ผู้สื่อข่าวสอบถามถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว นางพรศิริมีท่าทีลำบากใจในการตอบคำถาม พร้อมกับมีน้ำตาคลอเบ้าและน้ำเสียงสะอื้น จนต้องหยุดตอบคำถามไปชั่วครู่โดยกล่าวว่ารู้สึกเป็นห่วงนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาแล้วติดค้างอยู่ในไทย. แหล่งข้อมูล
นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ตั้งศูนย์ประสานงานเจ้าหน้าที่ 4 หน่วยงาน ได้แก่ ศูนย์ปฏิบัติการในภาวะวิกฤติ (ศวก.) ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศ ไทย (ททท.), กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, สำนักงานตำรวจท่องเที่ยว และกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อรวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้กับโรงแรม บริษัทนำเที่ยว ไว้ตอบคำถามของนักท่อง เที่ยว สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นแทบประเมินไม่ได้และคงต้องใช้เวลานานกว่าจะฟื้น ขนาดกรณีสนามบินภูเก็ตผ่านมา 3 เดือนแล้ว ตอนนี้ยังไม่ฟื้นตัวเลย ดังนั้น ตอนนี้กระทรวงฯขอเดินหน้าจัดการดูแลนักท่องเที่ยวที่ยังตกค้างอยู่ในไทยก่อน ส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่กำลังจะเดินทางมาแล้วมาไม่ได้นั้น ค่อยไปจัดการทีหลัง
“เพื่อดูแลนักท่องเที่ยวที่ตกค้างที่สนามบินได้อย่างทั่วถึง ผมได้ของบกลางไม่เกิน 10 ล้านบาท มาใช้ฉุกเฉินสำหรับดูแลเรื่องค่าเดินทาง ค่าอาหารและที่พักให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ตก ค้างอยู่ โดยจะตั้งคณะกรรมการเพื่อมาดูแลการเบิกจ่ายงบกลางฉุกเฉินนี้จากภาครัฐและเอกชน รวมทั้งให้สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) และ ททท. ส่งเจ้าหน้าที่ไปดูแลนักท่องเที่ยวที่ติดค้างอยู่ เบื้องต้นมีนักท่องเที่ยวติดค้างในสนามบินสุวรรณภูมิที่หน่วยงานเหล่านี้นำออกมาจากสนามบินสุวรรณภูมิไปส่งยังที่พักต่างๆ กว่า 400 คนแล้ว”
ส่วนภาคเอกชนนั้น ไม่อยากให้ท้อแท้หมดหวังควรเข้ามาช่วยกันแก้ไขสถานการณ์ และร่วมกันกู้ชื่อเสียงการท่องเที่ยวไทยให้คืนมาด้วยการดูแลนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ตกค้างอยู่อย่างมีคุณภาพที่สุด และอยากวอนให้กลุ่มพันธมิตรฯคืนพื้นที่สนามบินสุวรรณภูมิให้เร็วที่สุด เพราะนักท่องเที่ยวไม่ใช่ คู่กรณี “ตอนนี้โรงแรมโรสการ์เด้นท์ริเวอร์ไซด์ ที่สวนสามพรานได้ประกาศเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ตกค้างอยู่ให้มาพักชมการแสดงและรับประทานอาหารกลางวันที่สวนสามพรานฟรีวันที่ 26-27 พ.ย.นี้ ขณะที่โรงแรมโซฟิเทล ลาดพร้าว ได้เปิดให้นักท่องเที่ยวที่เพิ่งเช็กเอาต์ออกไปแล้วไม่สามารถบินกลับประเทศจากกรณีที่สนามบินสุวรรณภูมิถูกปิด สามารถกลับมาพักได้ฟรี ซึ่งคิดว่าจะเป็นแบบอย่างที่ดีให้คนอื่นทำตามต่อไป”
ด้านนางพรศิริ มโนหาญ ผู้ว่าการ ททท. ได้เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการ ททท. ว่าได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ ททท. 2 คนไปประจำการที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อประสานงานกับบริษัท ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) ดูแลนักท่องเที่ยวที่ติดค้างในสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่ง ททท.สามารถนำนักท่องเที่ยวออกมาจากสนามบินสุวรรณภูมิได้หมดแล้วช่วงเย็นวันที่ 26 พ.ย. และขณะนี้ทางสมาคมโรงแรมจังหวัดกระบี่ ได้แจ้งมาแล้วว่าจะเปิดให้นักท่องเที่ยวที่ตกค้างมาพักฟรีทุกแห่งเพื่อช่วยเหลือนักท่องเที่ยว ขณะที่สิงคโปร์แอร์ไลน์ เสนอว่า หากไทยนำนักท่องเที่ยวบินมาลงที่สนามบินจังหวัดภูเก็ต ก็พร้อมส่งเครื่องบินมารับคนไปลงต่อที่สิงคโปร์ เพื่อเป็นฐานสำหรับเดินทางกลับประเทศต่อไป “ยอมรับว่าหลังจากนี้นักท่อง เที่ยวต่างชาติคงลดลงแน่นอน อย่างน้อยที่สุดจะไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในช่วงนี้และไม่แน่ใจว่านักท่องเที่ยวจะกลับมาเมื่อไหร่ ดังนั้น สิ่งที่ทำได้ ตอนนี้คือขอให้คนในประเทศช่วยกันเที่ยวในประเทศ เพื่อหนุนให้เกิดการใช้จ่าย ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการ ททท.ได้อนุมัติให้ใช้เบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย์ เป็นพรีเซ็นเตอร์ประชาสัมพันธ์โครงการสนับสนุนให้ไทยเที่ยวไทยแล้วเป็นเวลา 6 เดือน”
ทั้งนี้ จนถึงช่วงบ่ายวันที่ 26 พ.ย. ททท. ได้รวบรวมข้อมูลจากต่างประเทศพบว่ามีประเทศออกประกาศเตือนนักท่องเที่ยวให้ระมัดระวังการเดินทางมาไทยแล้วรวม 21 ประเทศ โดยมีประเทศที่เตือนระดับมาก ได้แก่ สหราชอาณาจักร, เยอรมนี, สวิตเซอร์แลนด์, แคนาดา, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, สิงคโปร์, ฮ่องกง, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย และญี่ปุ่น ระดับปานกลาง ได้แก่ ประเทศไอร์แลนด์, เดนมาร์ก, ฝรั่งเศส, อิตาลี, นอร์เวย์, รัสเซีย, สเปน, เบลเยียม, ไต้หวัน และเกาหลี
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ระหว่างที่ผู้สื่อข่าวสอบถามถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว นางพรศิริมีท่าทีลำบากใจในการตอบคำถาม พร้อมกับมีน้ำตาคลอเบ้าและน้ำเสียงสะอื้น จนต้องหยุดตอบคำถามไปชั่วครู่โดยกล่าวว่ารู้สึกเป็นห่วงนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาแล้วติดค้างอยู่ในไทย. แหล่งข้อมูล
Wednesday, November 26, 2008
แนะคนไทยเคารพ 3 สถาบันฝ่าฟันวิกฤต
"องคมนตรี"แนะคนไทยเคารพ 3 สถาบันฝ่าฟันวิกฤต นักวิชาการหวั่นเหตุรุนแรง "เสื้อแดง"ปิดล้อม"เสื้อเหลือง"
ศาสตรจารย์เกียรติคุณ นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ในฐานะเลขานุการมูลนิธิพระดาบส นำข้าราชการจากสำนักราชเลขาธิการ สำนักพระราชวัง และคณะเจ้าหน้าที่มูลนิธิพระดาบส เดินทางออกไปให้บริการกับประชาชนตามโครงการพระดาบสสัญจร ที่บริเวณสนามหญ้าหน้าเทศบาลตำบลบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
"องคมนตรี"แนะคนไทยเคารพ 3 สถาบันฝ่าฟันวิกฤต
ศาสตรจารย์เกียรติคุณ นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ในฐานะเลขานุการมูลนิธิพระดาบส นำข้าราชการจากสำนักราชเลขาธิการ สำนักพระราชวัง และคณะเจ้าหน้าที่มูลนิธิพระดาบส เดินทางออกไปให้บริการกับประชาชนตามโครงการพระดาบสสัญจร ที่บริเวณสนามหญ้าหน้าเทศบาลตำบลบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 23 พ.ย. โดยมูลนิธิพระดาบสจะจัดสัญจรออกไปนอกพื้นที่เดือนละ 1 ครั้ง
องคมนตรี ได้หยิบยกคำพูดของนายคึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี มาพูดกับประชาชน ว่า ขอให้ประชาชนยึดแนวทางในการปกป้อง 3 สถาบัน คือ สถาบันพระมหากษัตริย์ สถาบันศาสนา และสถาบันประชาชน มาดำเนินชีวิต หากทำได้จะทำให้ประเทศไทยเดินไปข้างหน้า ซึ่งสิ่งที่ขอร้องมากที่สุด คือ ให้ประชาชนนึกถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะพระองค์ท่านทรงเป็นแบบอย่าง ในการดำเนินชีวิตที่พอเพียง สิ่งสำคัญเมื่อเกิดปัญหาขึ้นในประเทศไทยแทบทุกครั้ง จนถึงทางตัน พระองค์ก็จะออกมาเป็นแสงสว่างในการแก้วิกฤติให้ เช่น ปัญหาเศรษฐกิจ และปัญหาบ้านเมือง
"ส่วนสถาบันศาสนาเป็นสิ่งสำคัญ เพราะประเทศไทยมีหลายศาสนา ซึ่งทุกคนก็นับถือศาสนาที่ต่างกัน แต่ก็มีพระมหากษัตริย์องค์เดียวกัน เมื่อไม่รักกันแล้ว ก็ยากที่จะทำให้ประเทศชาติพัฒนาไปได้ สิ่งสุดท้าย คือ สถาบันประชาชน ที่จะต้องเร่งแก้ไขขณะนี้ เพราะคนไทยไม่เคารพในสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงทำให้สถาบันประชาชนเกิดความแตกแยก" องคมนตรี กล่าวและว่า เชื่อว่า หากประชาชนคนไทยดำเนินการตามแนวของอดีตนายกฯ ที่เคยพูดไว้ให้เคารพใน 3 สถาบันนั้น ประเทศไทยฝ่าพ้นวิกฤติต่างๆ สิ่งสำคัญก็จะทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ ทรงสบายพระทัยที่เห็นคนไทยรักกัน
นักวิชาการหวั่นเหตุรุนแรง"เสื้อแดง"ปิดล้อม"เสื้อเหลือง"
นายรังสรรค์ ปทุมวรรณ์ นักวิชาการคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวเมื่อวันที่ 23 พ.ย.ถึงการประกาศชุมนุมใหญ่ของ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในวันพรุ่งนี้ (24 พ.ย.) ที่หน้ารัฐสภา ว่า เป็นกลยุทธ์หนึ่ง เพื่อให้ผู้ชุมนุมกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง หลังจากเสร็จสิ้นงานพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ส่งผลให้ผู้เข้าร่วมชุมนุมบางตาลงไป ซึ่งถือเป็นการสร้างกระแสการรวมตัว โดยยืนยันว่า จะเดินทางไปหน้ารัฐสภาเพื่อต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งๆ ที่นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ยืนยันแล้วว่าไม่มีการบรรจุวาระการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เข้าสู่การประชุมพิจารณา
นายรังสรรค์ กล่าวอีกว่า คาดว่า ในการชุมนุมใหญ่ อาจนำมาสู่เหตุการณ์ความรุนแรงขึ้น และถือเป็นความรุนแรงที่มาจากหลายฝ่าย ทั้งฝ่ายม็อบเสื้อแดงหรือกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปช.) ที่ได้จัดงานความจริงวันนี้สัญจรขึ้น ที่วัดสวนแก้ว จ.นนทบุรี ในวันนี้ แม้ว่านายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน (พปช.) ผู้จัดรายการความจริงวันนี้ จะออกมาบอกแล้วว่า ไม่เดินทางไปที่ทำเนียบรัฐบาลหรือรัฐสภาแน่นอน แต่เชื่อว่าอาจนำไปสู่ม็อบเสื้อแดงปิดล้อมม็อบเสื้อเหลืองได้ โดยอ้างเหตุผลว่าเป็นเรื่องของสถานการณ์เฉพาะหน้าควบคุมไม่ได้ แหล่งข้อมูล
ศาสตรจารย์เกียรติคุณ นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ในฐานะเลขานุการมูลนิธิพระดาบส นำข้าราชการจากสำนักราชเลขาธิการ สำนักพระราชวัง และคณะเจ้าหน้าที่มูลนิธิพระดาบส เดินทางออกไปให้บริการกับประชาชนตามโครงการพระดาบสสัญจร ที่บริเวณสนามหญ้าหน้าเทศบาลตำบลบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
"องคมนตรี"แนะคนไทยเคารพ 3 สถาบันฝ่าฟันวิกฤต
ศาสตรจารย์เกียรติคุณ นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ในฐานะเลขานุการมูลนิธิพระดาบส นำข้าราชการจากสำนักราชเลขาธิการ สำนักพระราชวัง และคณะเจ้าหน้าที่มูลนิธิพระดาบส เดินทางออกไปให้บริการกับประชาชนตามโครงการพระดาบสสัญจร ที่บริเวณสนามหญ้าหน้าเทศบาลตำบลบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 23 พ.ย. โดยมูลนิธิพระดาบสจะจัดสัญจรออกไปนอกพื้นที่เดือนละ 1 ครั้ง
องคมนตรี ได้หยิบยกคำพูดของนายคึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี มาพูดกับประชาชน ว่า ขอให้ประชาชนยึดแนวทางในการปกป้อง 3 สถาบัน คือ สถาบันพระมหากษัตริย์ สถาบันศาสนา และสถาบันประชาชน มาดำเนินชีวิต หากทำได้จะทำให้ประเทศไทยเดินไปข้างหน้า ซึ่งสิ่งที่ขอร้องมากที่สุด คือ ให้ประชาชนนึกถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะพระองค์ท่านทรงเป็นแบบอย่าง ในการดำเนินชีวิตที่พอเพียง สิ่งสำคัญเมื่อเกิดปัญหาขึ้นในประเทศไทยแทบทุกครั้ง จนถึงทางตัน พระองค์ก็จะออกมาเป็นแสงสว่างในการแก้วิกฤติให้ เช่น ปัญหาเศรษฐกิจ และปัญหาบ้านเมือง
"ส่วนสถาบันศาสนาเป็นสิ่งสำคัญ เพราะประเทศไทยมีหลายศาสนา ซึ่งทุกคนก็นับถือศาสนาที่ต่างกัน แต่ก็มีพระมหากษัตริย์องค์เดียวกัน เมื่อไม่รักกันแล้ว ก็ยากที่จะทำให้ประเทศชาติพัฒนาไปได้ สิ่งสุดท้าย คือ สถาบันประชาชน ที่จะต้องเร่งแก้ไขขณะนี้ เพราะคนไทยไม่เคารพในสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงทำให้สถาบันประชาชนเกิดความแตกแยก" องคมนตรี กล่าวและว่า เชื่อว่า หากประชาชนคนไทยดำเนินการตามแนวของอดีตนายกฯ ที่เคยพูดไว้ให้เคารพใน 3 สถาบันนั้น ประเทศไทยฝ่าพ้นวิกฤติต่างๆ สิ่งสำคัญก็จะทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ ทรงสบายพระทัยที่เห็นคนไทยรักกัน
นักวิชาการหวั่นเหตุรุนแรง"เสื้อแดง"ปิดล้อม"เสื้อเหลือง"
นายรังสรรค์ ปทุมวรรณ์ นักวิชาการคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวเมื่อวันที่ 23 พ.ย.ถึงการประกาศชุมนุมใหญ่ของ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในวันพรุ่งนี้ (24 พ.ย.) ที่หน้ารัฐสภา ว่า เป็นกลยุทธ์หนึ่ง เพื่อให้ผู้ชุมนุมกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง หลังจากเสร็จสิ้นงานพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ส่งผลให้ผู้เข้าร่วมชุมนุมบางตาลงไป ซึ่งถือเป็นการสร้างกระแสการรวมตัว โดยยืนยันว่า จะเดินทางไปหน้ารัฐสภาเพื่อต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งๆ ที่นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ยืนยันแล้วว่าไม่มีการบรรจุวาระการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เข้าสู่การประชุมพิจารณา
นายรังสรรค์ กล่าวอีกว่า คาดว่า ในการชุมนุมใหญ่ อาจนำมาสู่เหตุการณ์ความรุนแรงขึ้น และถือเป็นความรุนแรงที่มาจากหลายฝ่าย ทั้งฝ่ายม็อบเสื้อแดงหรือกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปช.) ที่ได้จัดงานความจริงวันนี้สัญจรขึ้น ที่วัดสวนแก้ว จ.นนทบุรี ในวันนี้ แม้ว่านายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน (พปช.) ผู้จัดรายการความจริงวันนี้ จะออกมาบอกแล้วว่า ไม่เดินทางไปที่ทำเนียบรัฐบาลหรือรัฐสภาแน่นอน แต่เชื่อว่าอาจนำไปสู่ม็อบเสื้อแดงปิดล้อมม็อบเสื้อเหลืองได้ โดยอ้างเหตุผลว่าเป็นเรื่องของสถานการณ์เฉพาะหน้าควบคุมไม่ได้ แหล่งข้อมูล
Friday, November 21, 2008
สมาคมประชาชาติอาเซียน
ในโอกาสที่สมาคมประชาชาติอาเซียนจะก้าวสู่ขั้นตอนใหม่ มีกฎบัตรร่วมกัน (ASEAN Charter) ซึ่งมิได้มีแต่มิติเศรษฐกิจและการเมืองเท่านั้น การเน้นมิติสังคมมนุษยธรรมโดยเฉพาะเน้นให้อาเซียนเป็นประชาคมที่เอื้ออาทรหรือร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน (Caring) และการเป็นสังคมแบ่งปันกัน (Sharing) จึงมีความสำคัญสูงยิ่ง
แหล่งข้อมูล
1.บริบทกระแสโลกาภิวัตน์ที่ผ่านมามีลักษณะสำคัญ คือ
1) เร่งรัดมากแต่มีความไม่แน่นอนอย่างมาก ระยะหลังมานี้เผชิญวิกฤตการเงินซึ่งเกิดขึ้นที่สหรัฐอเมริกาแต่กระทบไปทั่วโลก วิกฤตครั้งนี้คาดว่าจะมีผลกระทบให้ต้องชะลอความเร็วเร่งรุดด้านการขยายตัวของเศรษฐกิจลงบ้าง และจำต้องมีการกำกับดูแลโดยรัฐและสังคมอย่างเป็นระบบและสม่ำเสมอ
2) โลกาภิวัตน์ที่ผ่านมาขับเคลื่อนโดยกลไกตลาด มุ่งเป้าหมายตลาดเดียว แหล่งลงทุนรวมทั้งการเคลื่อนย้ายแรงงานทักษะอย่างเสรี การมุ่งหน้าบรรลุเป้าเช่นนี้ อีกนัยหนึ่งเป็นการมุ่งการบูรณาการทางเศรษฐกิจ (Economic Integration) ให้มากยิ่งขึ้นไปอีก การแข่งขันก็ทวีความเข้มข้น
3) การพัฒนาภายใต้โลกาภิวัตน์เศรษฐกิจนำ กลายเป็นการพัฒนามิติเดียว แต่กลับไปส่งเสริมให้เกิดภาวะขาดดุลแม้บางกรณีอาจมิได้มีความตั้งใจให้เป็นเช่นนั้นเลย
ได้แก่ ภาวะขาดดุลด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากร ขาดดุลด้านธรรมาภิบาลและประชาธิปไตย ขาดดุลด้านความเป็นธรรมทางสังคมและจริยธรรมในการพัฒนา
2.ปัญหาความรู้เท่าทันด้านสังคมตามไม่ทันการเมืองแบบผลประโยชน์
1) ช่องว่างในการรับรู้ (Perception Gap) ระหว่างความนึกคิดกับความเป็นจริง การพัฒนาที่ผ่านมาในความเป็นจริงมิได้เป็นไปดังที่นึกคิดกันมา เพราะมีมิติภูมิภาคที่เศรษฐกิจไทยเราต้องเกี่ยวข้องพึ่งพาอาศัยกันอย่างแยกไม่ออก การพัฒนาเกิดมาได้เพราะเกิดในบริบทที่กว้างกว่าประเทศ มีมิติภูมิภาคยานุวัตน์ (Regionalization) ด้วย ประเทศเราพัฒนามาได้เพราะเราอาศัยแรงงานต่างด้าวถึงร้อยละ 10 ของกำลังแรงงานทั้งหมดในประเทศ (ประมาณ 3.5 ล้านคน) เราพัฒนามาได้ก็อาศัยพลังงานต่างแดน เพราะเราสร้างเขื่อนในแผ่นดินไทยไม่ได้ แต่เรายังต้องการบริโภคไฟฟ้าอีกมาก และพึ่งพาทรัพยากรคนอื่นมาตลอด
2) ผู้ขับเคลื่อนด้านเศรษฐกิจเอกชนมีจำนวนมากกว่าและมีความเข้มแข็งกว่าผู้ขับเคลื่อนทางด้านสังคมและวัฒนธรรม
3) ปัญหาช่องว่างของแรงจูงใจ แรงจูงใจด้านเศรษฐกิจ (ใช้ประโยชน์และหากำไร) มีพลังมากกว่าแรงจูงใจด้านร่วมทุกข์ร่วมสุข (Solidarity) มิหนำซ้ำโลกทรรศน์แบบสงครามเย็นยังมีอิทธิพลตกค้างอยู่ไม่น้อยในการเมืองเพื่อนบ้าน ในอดีตภายใต้ภาวการณ์มีสงครามเย็นทำให้เรามีหลักความคิดอยู่ว่า เมื่อเพื่อนบ้านอ่อนแอ เราจะดีใจหรืออย่างดีหน่อยก็มองเห็นเขาเป็นตลาดขายสินค้าของเราเท่านั้น
4) ปัญหาช่องว่างด้านความรู้ความเข้าใจ (knowledge Gap) กับสถานภาพของไทย กล่าวคือระหว่างความคาดหวังต่อไทยในฐานะประเทศผู้นำกับสำนึกรู้ต่อบทบาทของตนที่มีมิติรับผิดชอบต่อภูมิภาค นอกจากนี้มีงานวิจัยที่เกี่ยวกับนิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัยในหมู่ประเทศสมาชิกอาเซียนยืนยันว่า ระดับของความรู้และความไม่อยากรู้เรื่องเพื่อนบ้าน รวมทั้งภาษาเพื่อนบ้านของเยาวชนไทยนั้นเกือบเป็นที่โหล่เมื่อเทียบกับบรรดาสมาชิกของอาเซียนด้วยกัน
แหล่งข้อมูล
1.บริบทกระแสโลกาภิวัตน์ที่ผ่านมามีลักษณะสำคัญ คือ
1) เร่งรัดมากแต่มีความไม่แน่นอนอย่างมาก ระยะหลังมานี้เผชิญวิกฤตการเงินซึ่งเกิดขึ้นที่สหรัฐอเมริกาแต่กระทบไปทั่วโลก วิกฤตครั้งนี้คาดว่าจะมีผลกระทบให้ต้องชะลอความเร็วเร่งรุดด้านการขยายตัวของเศรษฐกิจลงบ้าง และจำต้องมีการกำกับดูแลโดยรัฐและสังคมอย่างเป็นระบบและสม่ำเสมอ
2) โลกาภิวัตน์ที่ผ่านมาขับเคลื่อนโดยกลไกตลาด มุ่งเป้าหมายตลาดเดียว แหล่งลงทุนรวมทั้งการเคลื่อนย้ายแรงงานทักษะอย่างเสรี การมุ่งหน้าบรรลุเป้าเช่นนี้ อีกนัยหนึ่งเป็นการมุ่งการบูรณาการทางเศรษฐกิจ (Economic Integration) ให้มากยิ่งขึ้นไปอีก การแข่งขันก็ทวีความเข้มข้น
3) การพัฒนาภายใต้โลกาภิวัตน์เศรษฐกิจนำ กลายเป็นการพัฒนามิติเดียว แต่กลับไปส่งเสริมให้เกิดภาวะขาดดุลแม้บางกรณีอาจมิได้มีความตั้งใจให้เป็นเช่นนั้นเลย
ได้แก่ ภาวะขาดดุลด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากร ขาดดุลด้านธรรมาภิบาลและประชาธิปไตย ขาดดุลด้านความเป็นธรรมทางสังคมและจริยธรรมในการพัฒนา
2.ปัญหาความรู้เท่าทันด้านสังคมตามไม่ทันการเมืองแบบผลประโยชน์
1) ช่องว่างในการรับรู้ (Perception Gap) ระหว่างความนึกคิดกับความเป็นจริง การพัฒนาที่ผ่านมาในความเป็นจริงมิได้เป็นไปดังที่นึกคิดกันมา เพราะมีมิติภูมิภาคที่เศรษฐกิจไทยเราต้องเกี่ยวข้องพึ่งพาอาศัยกันอย่างแยกไม่ออก การพัฒนาเกิดมาได้เพราะเกิดในบริบทที่กว้างกว่าประเทศ มีมิติภูมิภาคยานุวัตน์ (Regionalization) ด้วย ประเทศเราพัฒนามาได้เพราะเราอาศัยแรงงานต่างด้าวถึงร้อยละ 10 ของกำลังแรงงานทั้งหมดในประเทศ (ประมาณ 3.5 ล้านคน) เราพัฒนามาได้ก็อาศัยพลังงานต่างแดน เพราะเราสร้างเขื่อนในแผ่นดินไทยไม่ได้ แต่เรายังต้องการบริโภคไฟฟ้าอีกมาก และพึ่งพาทรัพยากรคนอื่นมาตลอด
2) ผู้ขับเคลื่อนด้านเศรษฐกิจเอกชนมีจำนวนมากกว่าและมีความเข้มแข็งกว่าผู้ขับเคลื่อนทางด้านสังคมและวัฒนธรรม
3) ปัญหาช่องว่างของแรงจูงใจ แรงจูงใจด้านเศรษฐกิจ (ใช้ประโยชน์และหากำไร) มีพลังมากกว่าแรงจูงใจด้านร่วมทุกข์ร่วมสุข (Solidarity) มิหนำซ้ำโลกทรรศน์แบบสงครามเย็นยังมีอิทธิพลตกค้างอยู่ไม่น้อยในการเมืองเพื่อนบ้าน ในอดีตภายใต้ภาวการณ์มีสงครามเย็นทำให้เรามีหลักความคิดอยู่ว่า เมื่อเพื่อนบ้านอ่อนแอ เราจะดีใจหรืออย่างดีหน่อยก็มองเห็นเขาเป็นตลาดขายสินค้าของเราเท่านั้น
4) ปัญหาช่องว่างด้านความรู้ความเข้าใจ (knowledge Gap) กับสถานภาพของไทย กล่าวคือระหว่างความคาดหวังต่อไทยในฐานะประเทศผู้นำกับสำนึกรู้ต่อบทบาทของตนที่มีมิติรับผิดชอบต่อภูมิภาค นอกจากนี้มีงานวิจัยที่เกี่ยวกับนิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัยในหมู่ประเทศสมาชิกอาเซียนยืนยันว่า ระดับของความรู้และความไม่อยากรู้เรื่องเพื่อนบ้าน รวมทั้งภาษาเพื่อนบ้านของเยาวชนไทยนั้นเกือบเป็นที่โหล่เมื่อเทียบกับบรรดาสมาชิกของอาเซียนด้วยกัน
Thursday, November 20, 2008
Monday, November 17, 2008
Benchmarking the library
Overview of Benchmarking
Benchmarking is the process of measuring an organization's internal processes then identifying, understanding, and adapting outstanding practices from other organizations considered to be best-in-class
Benchmarking for library building
University library benchmarking
Learning from other libraries: benchmarking to assess library performance
Benchmarking Basics for Librarians
Benchmarking for Best Practices
การเทียบเคียงสมรรถนะ
ความรู้เบื้องต้นBenchmarking
การจัดเทียบมาตรฐาน
โครงการวิจัย Benchmarking
Benchmarking is the process of measuring an organization's internal processes then identifying, understanding, and adapting outstanding practices from other organizations considered to be best-in-class
Benchmarking for library building
University library benchmarking
Learning from other libraries: benchmarking to assess library performance
Benchmarking Basics for Librarians
Benchmarking for Best Practices
การเทียบเคียงสมรรถนะ
ความรู้เบื้องต้นBenchmarking
การจัดเทียบมาตรฐาน
โครงการวิจัย Benchmarking
Sunday, November 16, 2008
Sunday, November 09, 2008
Friday, November 07, 2008
The Information Society / the Knowledge Society
Knowledge economy and society
The Information Society / the Knowledge Society
Information society
In this past decade, the expression “information society” has without a doubt been confirmed as the hegemonic term, not because it necessarily expresses a theoretical clarity, but rather due to its “baptism” by the official policies of the more developed countries and the “crowning” that meant having a World Summit dedicated in its honor.
The term’s antecedents, however, date back from previous decades. In 1973, United States sociologist Daniel Bell introduced the notion “information society” in his book The Coming of Post-Industrial Society [1], where he formulates that the main axis of this society will be theoretical knowledge and warns that knowledge-based services will be transformed into the central structure of the new economy and of an information-led society, where ideologies will end up being superfluous.
This expression reappears strongly in the 90s, within the context of the development of the World Wide Web and ICTs. As of 1995, it was included in the agenda of the G7 meetings (followed by G8, which joins heads of State and governments from the most powerful nations on the planet). It has been addressed in forums of the European Community and the OECD - Organization for Economic Cooperation and Development (the thirty most developed countries in the World), and has been adopted by the United States government, as well as various UN agencies and the World Bank Group. All with great repercussions in the communication media. As of 1998, the term was first selected by the International Telecommunication Union (ITU) and then by the UN, as the name for the World Summit to be held in 2003 and 2005.
Within this context, the concept “information society” as a political and ideological construct has developed under the direction of neo-liberal globalization, whose main goal has been to accelerate the establishment of an open and “self-regulated” world market. This policy has counted on the close collaboration of multilateral organizations such as the World Trade Organization (WTO), the International Monetary Fund (IMF), and the World Bank, in order for the weak countries to abandon national regulations or protectionist measures that “would discourage” the inversion; all with the known result of a scandalous widening of the gaps between the rich and the poor in the World. Source
The Information Society / the Knowledge Society
Information society
In this past decade, the expression “information society” has without a doubt been confirmed as the hegemonic term, not because it necessarily expresses a theoretical clarity, but rather due to its “baptism” by the official policies of the more developed countries and the “crowning” that meant having a World Summit dedicated in its honor.
The term’s antecedents, however, date back from previous decades. In 1973, United States sociologist Daniel Bell introduced the notion “information society” in his book The Coming of Post-Industrial Society [1], where he formulates that the main axis of this society will be theoretical knowledge and warns that knowledge-based services will be transformed into the central structure of the new economy and of an information-led society, where ideologies will end up being superfluous.
This expression reappears strongly in the 90s, within the context of the development of the World Wide Web and ICTs. As of 1995, it was included in the agenda of the G7 meetings (followed by G8, which joins heads of State and governments from the most powerful nations on the planet). It has been addressed in forums of the European Community and the OECD - Organization for Economic Cooperation and Development (the thirty most developed countries in the World), and has been adopted by the United States government, as well as various UN agencies and the World Bank Group. All with great repercussions in the communication media. As of 1998, the term was first selected by the International Telecommunication Union (ITU) and then by the UN, as the name for the World Summit to be held in 2003 and 2005.
Within this context, the concept “information society” as a political and ideological construct has developed under the direction of neo-liberal globalization, whose main goal has been to accelerate the establishment of an open and “self-regulated” world market. This policy has counted on the close collaboration of multilateral organizations such as the World Trade Organization (WTO), the International Monetary Fund (IMF), and the World Bank, in order for the weak countries to abandon national regulations or protectionist measures that “would discourage” the inversion; all with the known result of a scandalous widening of the gaps between the rich and the poor in the World. Source
ห้องสมุดประชาชน แปลงโฉมใหม่
ห้องสมุดประชาชน แปลงโฉมใหม่ / ศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบ
ก้าวใหม่ของห้องสมุดประชาชนในภูมิภาคตอนนี้กำลังจะถูกปรับโฉมให้ตาม โครงการ Knowledge Center ศูนย์เรียนรู้กินได้ คือแหล่งรวมองค์ความรู้ที่เอื้อต่อการพัฒนาอาชีพ และการยกระดับคุณภาพสินค้าและบริการในท้องถิ่นให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้โครงการ ศูนย์เรียนรู้กินได้ เป็นการบริหารโครง การร่วมกัน ระหว่างสำนักงาน บริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (OKMD) และกระทรวงศึกษาธิ การ โดยเป็นการพัฒนาพื้นที่ห้องสมุดประชาชนในส่วนภูมิภาค ให้เป็นแหล่งเรียนรู้รูปแบบใหม่ ที่จูงใจให้ประชาชนเข้ามาแสวง หาความรู้ที่หลากหลายด้วยตน เอง ซึ่งภายใต้แนวคิดแห่งการ เป็นศูนย์เรียนรู้กินได้ ประกอบด้วย ห้องสมุด ซึ่งจะเพิ่มเนื้อ หาเฉพาะด้านที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาสินค้าและบริการของ ท้องถิ่น
การรวบรวมองค์ความรู้ดั้งเดิมของท้องถิ่น ผนวกกับ การกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ใหม่ที่สอดคล้องกับความต้อง การของตลาดโลก และ ส่วนกิจกรรม จะเป็นส่วนเสริมเพื่อกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์และความสนใจให้เกิดการเรียน รู้ของชุมชน อาทิ การสัมมนา การให้คำปรึกษาและค้นคว้าข้อมูล การจัดนิทรรศการ เป็นต้น
โดยงบประมาณในการดำเนินโครงการเพื่อสร้างศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบ จะอยู่ภายใต้งบประมาณของสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (OKMD) โดยระหว่างการจัดทำโครงการฯ ทั้งสองหน่วยงานจะดำเนินโครง การฝึกอบรมบุคลากร เพื่อถ่าย ทอดและแลกเปลี่ยนประสบ การณ์ต่าง ๆ ก่อนที่จะส่งมอบศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบให้แก่ กระทรวงศึกษาธิการต่อไปภายใน 1 ปีนับจากเปิดให้บริการ
อ่านรายละเอียด
ก้าวใหม่ของห้องสมุดประชาชนในภูมิภาคตอนนี้กำลังจะถูกปรับโฉมให้ตาม โครงการ Knowledge Center ศูนย์เรียนรู้กินได้ คือแหล่งรวมองค์ความรู้ที่เอื้อต่อการพัฒนาอาชีพ และการยกระดับคุณภาพสินค้าและบริการในท้องถิ่นให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้โครงการ ศูนย์เรียนรู้กินได้ เป็นการบริหารโครง การร่วมกัน ระหว่างสำนักงาน บริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (OKMD) และกระทรวงศึกษาธิ การ โดยเป็นการพัฒนาพื้นที่ห้องสมุดประชาชนในส่วนภูมิภาค ให้เป็นแหล่งเรียนรู้รูปแบบใหม่ ที่จูงใจให้ประชาชนเข้ามาแสวง หาความรู้ที่หลากหลายด้วยตน เอง ซึ่งภายใต้แนวคิดแห่งการ เป็นศูนย์เรียนรู้กินได้ ประกอบด้วย ห้องสมุด ซึ่งจะเพิ่มเนื้อ หาเฉพาะด้านที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาสินค้าและบริการของ ท้องถิ่น
การรวบรวมองค์ความรู้ดั้งเดิมของท้องถิ่น ผนวกกับ การกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ใหม่ที่สอดคล้องกับความต้อง การของตลาดโลก และ ส่วนกิจกรรม จะเป็นส่วนเสริมเพื่อกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์และความสนใจให้เกิดการเรียน รู้ของชุมชน อาทิ การสัมมนา การให้คำปรึกษาและค้นคว้าข้อมูล การจัดนิทรรศการ เป็นต้น
โดยงบประมาณในการดำเนินโครงการเพื่อสร้างศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบ จะอยู่ภายใต้งบประมาณของสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (OKMD) โดยระหว่างการจัดทำโครงการฯ ทั้งสองหน่วยงานจะดำเนินโครง การฝึกอบรมบุคลากร เพื่อถ่าย ทอดและแลกเปลี่ยนประสบ การณ์ต่าง ๆ ก่อนที่จะส่งมอบศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบให้แก่ กระทรวงศึกษาธิการต่อไปภายใน 1 ปีนับจากเปิดให้บริการ
อ่านรายละเอียด
Thursday, November 06, 2008
ระบบห้องสมุดอัตโนมัติ Open source
Koha@STKS : The First Open Source Integrated Library System
ศูนย์บริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ศวท.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้เริ่มพัฒนาโปรแกรม Koha ตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2551 จนสามารถเปิดให้บริการสืบค้นข้อมูลฐานข้อมูลหนังสือ ดรรชนีวารสาร รายงานวิจัย วิทยานิพนธ์ที่สวทช. ให้ทุน ซีดี-รอม และ Collection พิเศษ สิ่งพิมพ์ สวทช. พร้อมกับพัฒนา 2D Barcode หรือสัญลักษณ์ 2 มิติ เพื่อให้รองรับการยืม-คืน ซึ่ง ศวท. นับว่าเป็นแห่งแรกที่ใช้ระบบ Koha กับระบบยืม-คืนด้วยสัญลักษณ์ 2มิติ สามารถเข้าเยี่ยมชมการสืบค้นด้วยระบบ Koha ได้ที่ library.stks.or.th หรือ stks.or.th/library
ศูนย์บริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ศวท.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้เริ่มพัฒนาโปรแกรม Koha ตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2551 จนสามารถเปิดให้บริการสืบค้นข้อมูลฐานข้อมูลหนังสือ ดรรชนีวารสาร รายงานวิจัย วิทยานิพนธ์ที่สวทช. ให้ทุน ซีดี-รอม และ Collection พิเศษ สิ่งพิมพ์ สวทช. พร้อมกับพัฒนา 2D Barcode หรือสัญลักษณ์ 2 มิติ เพื่อให้รองรับการยืม-คืน ซึ่ง ศวท. นับว่าเป็นแห่งแรกที่ใช้ระบบ Koha กับระบบยืม-คืนด้วยสัญลักษณ์ 2มิติ สามารถเข้าเยี่ยมชมการสืบค้นด้วยระบบ Koha ได้ที่ library.stks.or.th หรือ stks.or.th/library
Wednesday, November 05, 2008
Barack Obama elected 44th president
Barack Obama,a 47-year-old first-term senator from Illinois, shattered more than 200 years of history Tuesday night by winning election as the first African-American president of the United States.
A crowd of 125,000 people jammed Grant Park in Chicago, where Obama addressed the nation for the first time as its president-elect at midnight ET. Hundreds of thousands more — Mayor Richard Daley said he would not be surprised if a million Chicagoans jammed the streets — watched on a large television screen outside the park.
More information
A crowd of 125,000 people jammed Grant Park in Chicago, where Obama addressed the nation for the first time as its president-elect at midnight ET. Hundreds of thousands more — Mayor Richard Daley said he would not be surprised if a million Chicagoans jammed the streets — watched on a large television screen outside the park.
More information
Friday, October 31, 2008
การพัฒนาระบบราชการ
ก.พ.ร.
การพัฒนาระบบราชการ
การจัดการความรู้
Balance scorecard
BSC and KPI
BSC
SWOT analysis
Strategy map แผนที่ยุทธศาสตร์
Strategic Map and Value Chain
Strategic maps; Kaplan
ตัวอย่าง Strategic mapของมหาวิทยาลัย
Reengineering
Business Process Reengineering (BPR)
Business processes
BPR Model
What is BPR?
องค์กรแห่งความรู้
Balanced Scorecard
แนวทางในการเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม
แนวทางการวิเคราะห์ผลิตภาพ
การพัฒนาความคิด
“บุญรอด”เร่งยกเครื่ององค์กร
นิสสัน SHIFT_ ยกเครื่ององค์กร
Business Process Reengineering: Analysis and Recommendations
Total Quality Management (TQM)
The Eight Elements Of TQM
‘The Fifth Discipline – The Learning Organisation’ (1990)
KM development
การพัฒนาระบบราชการ
การจัดการความรู้
Balance scorecard
BSC and KPI
BSC
SWOT analysis
Strategy map แผนที่ยุทธศาสตร์
Strategic Map and Value Chain
Strategic maps; Kaplan
ตัวอย่าง Strategic mapของมหาวิทยาลัย
Reengineering
Business Process Reengineering (BPR)
Business processes
BPR Model
What is BPR?
องค์กรแห่งความรู้
Balanced Scorecard
แนวทางในการเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม
แนวทางการวิเคราะห์ผลิตภาพ
การพัฒนาความคิด
“บุญรอด”เร่งยกเครื่ององค์กร
นิสสัน SHIFT_ ยกเครื่ององค์กร
Business Process Reengineering: Analysis and Recommendations
Total Quality Management (TQM)
The Eight Elements Of TQM
‘The Fifth Discipline – The Learning Organisation’ (1990)
KM development
Sunday, October 26, 2008
วัฒนธรรมการอ่าน
คนไทยอ่านหนังสือปีละ 7 บรรทัด !!
อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ เคยเขียนถึงเรื่องการอ่านน้อยของคนไทยไว้ในหนังสือศิลปวัฒนธรรมว่า คนไทยมีวัฒนธรรมในการดูและฟังมากกว่าวัฒนธรรมการอ่าน จึงทำให้คนไทยนิยมบอกเล่าเรื่องราวต่อกันผ่านการแสดง ทั้งการละเล่นพื้นบ้าน ลิเก ลำตัด ละครต่างๆ รวมทั้งโขน แต่ไม่ได้บอกกล่าวเรื่องราวผ่านทางตัวหนังสือ
นอกเหนือจากเหตุผลทางด้านวัฒนธรรมของคนไทยตามที่ อ.นิธิอธิบายไว้แล้ว ยังมีสาเหตุอื่นอีก ที่เข้ามามีส่วนต่อวัฒนธรรมการอ่านของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง กระแสนิยม และล่าสุด คือเทคโนโลยีสมัยใหม่ อ่านรายละเอียด
อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ เคยเขียนถึงเรื่องการอ่านน้อยของคนไทยไว้ในหนังสือศิลปวัฒนธรรมว่า คนไทยมีวัฒนธรรมในการดูและฟังมากกว่าวัฒนธรรมการอ่าน จึงทำให้คนไทยนิยมบอกเล่าเรื่องราวต่อกันผ่านการแสดง ทั้งการละเล่นพื้นบ้าน ลิเก ลำตัด ละครต่างๆ รวมทั้งโขน แต่ไม่ได้บอกกล่าวเรื่องราวผ่านทางตัวหนังสือ
นอกเหนือจากเหตุผลทางด้านวัฒนธรรมของคนไทยตามที่ อ.นิธิอธิบายไว้แล้ว ยังมีสาเหตุอื่นอีก ที่เข้ามามีส่วนต่อวัฒนธรรมการอ่านของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง กระแสนิยม และล่าสุด คือเทคโนโลยีสมัยใหม่ อ่านรายละเอียด
ค่าย Young Writers
ค่าย "ยัง ไรเตอร์"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ที่วิทยาลัยนวัตกรรมอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์พัทยา จ.ชลบุรี คณะผู้บริหารจากบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) และ เครือซีเมนต์ไทย (เอสซีจี) และเยาวชนจำนวน 36 คน ได้เข้าร่วมในพิธีปิดโครงการจุดประกายปัญญา ปี 4 "ยัง ไรเตอร์ แคมป์" ซึ่งเป็นค่ายอบรมเยาวชนด้านการเขียนสารคดี เรื่องสั้น และสกู๊ปข่าว ระหว่างวันที่ 21-25 ตุลาคม พร้อมทั้งร่วมในพิธีมอบรางวัลให้กับผู้ชนะการเขียนสารคดี เรื่องสั้น และสกู๊ปข่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ชนะเลิศงานเขียนประเภทสารคดี ได้แก่ น.ส.ศศิวรรณ โมกขะเสน อายุ 17 ปี นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา จากเรื่อง "กลิ่นกะปิ รากไทร และไนท์ไลฟ์ที่พัทยา" ได้รับโน๊ตบุ๊ค 1 เครื่อง พร้อมเงินรางวัล 10,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ น.ส.พิชญา โชนะโต อายุ 17 ปี นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา จากเรื่อง "ฉันหลงทางในโลก(พัทยา)" ได้รับเงินรางวัล 10,000 บาท และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ นายเสฎฐวุฒิ อุดาการ อายุ 16 ปี นักเรียนชั้น ม.4 โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย จากเรื่อง "เทพนิยายราตรีในควันบุหรี่" ได้รับเงินรางวัล 8,000 บาท
ผู้ชนะเลิศงานเขียนประเภทเรื่องสั้น ได้แก่ น.ส.พิชญา โชนะโต จากเรื่อง "ส่องแสงไม่ส่งเสียง" ได้รับโน๊ตบุ๊ค 1 เครื่อง และเงินรางวัล 10,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ นายเสฎฐวุฒิ อุดาการ จากเรื่อง "โปสการ์ดจากเพื่อนถึงเมฆก้อนที่ไกลที่สุด" ได้รับเงินรางวัล 10,000 บาท และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ น.ส.มณฑิตา วงษ์ชีพ อายุ 22 ปี นักศึกษาปี 4 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จากเรื่อง "เด็กหญิงน้ำ นามสมมติ" ได้รับเงินรางวัล 8,000 บาท
ผู้ชนะเลิศงานเขียนประเภทสกู๊ปข่าวมี 2 คน ได้แก่ นายสันติพล ยวงใย อายุ 21 ปี นักศึกษาปี 3 มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา และนายนพพล อาชามาส อายุ 22 ปี บัณฑิตคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยได้รับโน๊ตบุ๊คคนละ 1 เครื่อง และเงินรางวัลคนละ 10,000 บาท
นอกจากนี้ยังมีผู้ได้รับรางวัล "ป๊อปปูล่าร์ โหวต" คือ น.ส.หมี่สะ แชเมิงกู่ อายุ 16 ปี นักเรียนชั้น ม.3 โรงเรียนสันติคีรีวิทยาคม ได้รับเงินรางวัล 5,000 บาท อ่านรายละเอียด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ที่วิทยาลัยนวัตกรรมอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์พัทยา จ.ชลบุรี คณะผู้บริหารจากบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) และ เครือซีเมนต์ไทย (เอสซีจี) และเยาวชนจำนวน 36 คน ได้เข้าร่วมในพิธีปิดโครงการจุดประกายปัญญา ปี 4 "ยัง ไรเตอร์ แคมป์" ซึ่งเป็นค่ายอบรมเยาวชนด้านการเขียนสารคดี เรื่องสั้น และสกู๊ปข่าว ระหว่างวันที่ 21-25 ตุลาคม พร้อมทั้งร่วมในพิธีมอบรางวัลให้กับผู้ชนะการเขียนสารคดี เรื่องสั้น และสกู๊ปข่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ชนะเลิศงานเขียนประเภทสารคดี ได้แก่ น.ส.ศศิวรรณ โมกขะเสน อายุ 17 ปี นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา จากเรื่อง "กลิ่นกะปิ รากไทร และไนท์ไลฟ์ที่พัทยา" ได้รับโน๊ตบุ๊ค 1 เครื่อง พร้อมเงินรางวัล 10,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ น.ส.พิชญา โชนะโต อายุ 17 ปี นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา จากเรื่อง "ฉันหลงทางในโลก(พัทยา)" ได้รับเงินรางวัล 10,000 บาท และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ นายเสฎฐวุฒิ อุดาการ อายุ 16 ปี นักเรียนชั้น ม.4 โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย จากเรื่อง "เทพนิยายราตรีในควันบุหรี่" ได้รับเงินรางวัล 8,000 บาท
ผู้ชนะเลิศงานเขียนประเภทเรื่องสั้น ได้แก่ น.ส.พิชญา โชนะโต จากเรื่อง "ส่องแสงไม่ส่งเสียง" ได้รับโน๊ตบุ๊ค 1 เครื่อง และเงินรางวัล 10,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ นายเสฎฐวุฒิ อุดาการ จากเรื่อง "โปสการ์ดจากเพื่อนถึงเมฆก้อนที่ไกลที่สุด" ได้รับเงินรางวัล 10,000 บาท และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ น.ส.มณฑิตา วงษ์ชีพ อายุ 22 ปี นักศึกษาปี 4 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จากเรื่อง "เด็กหญิงน้ำ นามสมมติ" ได้รับเงินรางวัล 8,000 บาท
ผู้ชนะเลิศงานเขียนประเภทสกู๊ปข่าวมี 2 คน ได้แก่ นายสันติพล ยวงใย อายุ 21 ปี นักศึกษาปี 3 มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา และนายนพพล อาชามาส อายุ 22 ปี บัณฑิตคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยได้รับโน๊ตบุ๊คคนละ 1 เครื่อง และเงินรางวัลคนละ 10,000 บาท
นอกจากนี้ยังมีผู้ได้รับรางวัล "ป๊อปปูล่าร์ โหวต" คือ น.ส.หมี่สะ แชเมิงกู่ อายุ 16 ปี นักเรียนชั้น ม.3 โรงเรียนสันติคีรีวิทยาคม ได้รับเงินรางวัล 5,000 บาท อ่านรายละเอียด
Friday, October 24, 2008
ยกเครื่องการเงินโลก
อียูจี้เอเชียร่วมยกเครื่องการเงินโลก
เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม สำนักข่าวเอพีรายงานจากกรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน สถานที่จัดการประชุมสุดยอดเอเชียยุโรป (อาเซม) ซึ่งจะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 24 ตุลาคม ว่า นายโจเซ บาร์โรโซ ประธานคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป (อียู) แถลงต่อสื่อมวลชนเรียกร้องให้เอเชียเข้าร่วมในการดำเนินความร่วมมือระดับโลก เพื่อยกเครื่องระบบการเงินโลกทั้งระบบใหม่หมด ซึ่งเชื่อว่าเป็นหนทางเดียวที่จะบรรเทาวิกฤตการเงินโลกอย่างที่ทุกประเทศกำลังเผชิญอยู่ และป้องกันไม่ให้วิกฤตทำนองเดียวกันนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต โดยนายบาร์โรโซชี้ว่า วิกฤตหนนี้ถือว่าเลวร้ายที่สุดในรอบ 70 ปี ทำให้จำเป็นต้องมีการปฏิรูปครั้งใหญ่ทั้งระบบ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือ ประสานงานระหว่างประเทศทุกประเทศทั่วโลกในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และต้องการให้เอเชียทั้งภูมิภาคเข้าร่วมด้วย
"เหตุผลนั้นเข้าใจได้ง่ายมาก เราจะว่ายน้ำไปด้วยกันหรือจะจมลงไปพร้อมๆ กัน ก็ต้องเลือกเอา" นายบาร์โรโซย้ำ ทั้งนี้ ประธานกรรมาธิการอียูซึ่งเคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโปรตุเกสมาก่อนหน้านี้ ไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับข้อเสนอของอียู แต่ระบุว่า หนทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในเวลานี้จะต้องอยู่บนพื้นฐานของหลักการแห่งความโปร่งใส ความรับผิดชอบ การกำกับดูแลนอกอาณาเขตประเทศ และหลักการแห่งธรรมาภิบาลในระดับโลก โดยยอมรับว่า ประเด็นวิกฤตเศรษฐกิจถือเป็นเรื่องหลักที่จะครอบงำการประชุมอาเซมครั้งนี้ตลอดทั้ง 2 วัน
นายบาร์โรโซเป็นหนึ่งในผู้นำหลายประเทศในยุโรปที่ทะยอยเดินทางเข้ากรุงปักกิ่งเพื่อการประชุมสุดยอดอาเซม รวมทั้ง นางแองเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี นิโกลาส์ ซาร์โกซี่ ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ที่จะเดินทางถึงก่อนพิธีเปิดการประชุมในวันที่ 24 ตุลาคมเล็กน้อย พร้อมทั้ง นายบัน คี มูน เลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ในขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของหลายประเทศเดินทางมาถึงแล้วรวมทั้งนายจอห์น แมคกินเนส รัฐมนตรีการค้าและพาณิชย์ของไอร์แลนด์ ที่แสดงความคาดหวังว่าการประชุมครั้งนี้น่าจะมีทางแก้วิกฤตโดยรวม เพื่อแก้ปัญหาวิกฤตที่โลกกำลังเผชิญอยู่
การประชุมครั้งนี้มีขึ้นในขณะที่สภาวะวิกฤตทั่วโลกเริ่มส่อเค้ารุนแรงมากขึ้นตามลำดับ หลังจากวิกฤตการณ์ทางการเงินในสหรัฐอเมริกาลุกลามไปยังประเทศอื่นๆ ทั่วโลก และส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงในหลายประเทศทั่วโลก ทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งหลายและก่อให้เกิดวิกฤตตามมาในอีกหลายประเทศรวมทั้งในเอเชีย ซึ่งเดิมเชื่อกันว่าจะไม่ได้รับผลกระทบรุนแรงมากนัก แต่กลับเผชิญความยุ่งยากมากขึ้นเรื่อยๆ ในการรับมือกับวิกฤตหนนี้ จนเป็นเหตุให้เกาหลีใต้ต้องประกาศแผนใช้เงินสูงถึง 130,000 ล้านดอลลาร์ สร้างเสถียรภาพให้กับตลาดเงิน ขณะที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจจีนลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 5 ปี ดัชนีหุ้นนิกเกอิของญี่ปุ่นผันผวนอย่างหนัก และทำสถิติลดลงในวันเดียวมากที่สุดกว่า 11 เปอร์เซ็นต์ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สิงคโปร์ยอมรับว่าเศรษฐกิจตกอยู่ในภาวะถดถอยแล้ว นายมันโมหัน สิงห์ นายกรัฐมนตรีอินเดีย ยอมรับระหว่างการแถลงข่าวที่ญี่ปุ่นก่อนหน้าเดินทางถึงปักกิ่งว่า อินเดียจะเผชิญกับภาวะชะลอตัวครั้งใหญ่ ในขณะที่ เศรษฐกิจของปากีสถานกำลังตกอยู่ในภาวะใกล้ล้มละลายจนต้องร้องขอความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) แล้ว
ถกวันแรกข้อเสนอปินส์ตั้งกองทุน
การประชุมอาเซมที่มีสมาชิกรวมทั้งสิ้น 45 ประเทศ จะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการด้วยการหารือระหว่างการรับประทานอาหารเช้าของผู้นำ 10 ชาติอาเซียนกับจีน ,ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ที่อาจมีการหารือถึงข้อเสนอของฟิลิปปินส์ ให้จัดตั้งกองทุนเงินทุนสำรองเพื่อให้ความช่วยเหลือประเทศที่เกิดวิกฤต ก่อนที่จะมีพิธีเปิดการประชุมโดยประธานาธิบดีหู จิ่น เทา ของจีน การประชุมครั้งนี้ถือเป็นการอุ่นเครื่องครั้งสำคัญก่อนที่หลายประเทศจะเดินทางเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศ จี 20 ตามคำเชิญชองประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช แห่งสหรัฐอเมริกาในกรุงวอชิงตัน ที่จะมีขึ้นในวันที่ 15 พฤศจิกายน 11 วัน หลังจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีในสหรัฐอเมริกาสิ้นสุดลง เพื่อทบทวนความคืบหน้าผลการออกมาตรการต่างๆ ที่สหรัฐออกมาก่อนหน้านี้
อนึ่ง กลุ่ม จี 20 ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2542 ประกอบด้วยสมาชิก 27 ประเทศ กลุ่มแรกคือ กลุ่มชาติอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ชาติ หรือกลุ่ม จี 7 (สหรัฐอเมริกา, อังกฤษ, แคนาดา, ฝรั่งเศส, อิตาลี, ญี่ปุ่น และเยอรมนี) และ สหภาพยุโรปที่เหลือเป็นกลุ่มประเทศเศรษฐกิจใหม่ขนาดใหญ่จากทั่วโลก คือ อาร์เจนตินา, ออสเตรเลีย, บราซิล, จีน, อินเดีย, อินโดนีเซีย, เม็กซิโก, รัสเซีย, ซาอุดีอาระเบีย, เกาหลีใต้, แอฟริกาใต้ และ ตุรกี
อ่านรายละเอียด
เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม สำนักข่าวเอพีรายงานจากกรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน สถานที่จัดการประชุมสุดยอดเอเชียยุโรป (อาเซม) ซึ่งจะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 24 ตุลาคม ว่า นายโจเซ บาร์โรโซ ประธานคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป (อียู) แถลงต่อสื่อมวลชนเรียกร้องให้เอเชียเข้าร่วมในการดำเนินความร่วมมือระดับโลก เพื่อยกเครื่องระบบการเงินโลกทั้งระบบใหม่หมด ซึ่งเชื่อว่าเป็นหนทางเดียวที่จะบรรเทาวิกฤตการเงินโลกอย่างที่ทุกประเทศกำลังเผชิญอยู่ และป้องกันไม่ให้วิกฤตทำนองเดียวกันนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต โดยนายบาร์โรโซชี้ว่า วิกฤตหนนี้ถือว่าเลวร้ายที่สุดในรอบ 70 ปี ทำให้จำเป็นต้องมีการปฏิรูปครั้งใหญ่ทั้งระบบ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือ ประสานงานระหว่างประเทศทุกประเทศทั่วโลกในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และต้องการให้เอเชียทั้งภูมิภาคเข้าร่วมด้วย
"เหตุผลนั้นเข้าใจได้ง่ายมาก เราจะว่ายน้ำไปด้วยกันหรือจะจมลงไปพร้อมๆ กัน ก็ต้องเลือกเอา" นายบาร์โรโซย้ำ ทั้งนี้ ประธานกรรมาธิการอียูซึ่งเคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโปรตุเกสมาก่อนหน้านี้ ไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับข้อเสนอของอียู แต่ระบุว่า หนทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในเวลานี้จะต้องอยู่บนพื้นฐานของหลักการแห่งความโปร่งใส ความรับผิดชอบ การกำกับดูแลนอกอาณาเขตประเทศ และหลักการแห่งธรรมาภิบาลในระดับโลก โดยยอมรับว่า ประเด็นวิกฤตเศรษฐกิจถือเป็นเรื่องหลักที่จะครอบงำการประชุมอาเซมครั้งนี้ตลอดทั้ง 2 วัน
นายบาร์โรโซเป็นหนึ่งในผู้นำหลายประเทศในยุโรปที่ทะยอยเดินทางเข้ากรุงปักกิ่งเพื่อการประชุมสุดยอดอาเซม รวมทั้ง นางแองเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี นิโกลาส์ ซาร์โกซี่ ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ที่จะเดินทางถึงก่อนพิธีเปิดการประชุมในวันที่ 24 ตุลาคมเล็กน้อย พร้อมทั้ง นายบัน คี มูน เลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ในขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของหลายประเทศเดินทางมาถึงแล้วรวมทั้งนายจอห์น แมคกินเนส รัฐมนตรีการค้าและพาณิชย์ของไอร์แลนด์ ที่แสดงความคาดหวังว่าการประชุมครั้งนี้น่าจะมีทางแก้วิกฤตโดยรวม เพื่อแก้ปัญหาวิกฤตที่โลกกำลังเผชิญอยู่
การประชุมครั้งนี้มีขึ้นในขณะที่สภาวะวิกฤตทั่วโลกเริ่มส่อเค้ารุนแรงมากขึ้นตามลำดับ หลังจากวิกฤตการณ์ทางการเงินในสหรัฐอเมริกาลุกลามไปยังประเทศอื่นๆ ทั่วโลก และส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงในหลายประเทศทั่วโลก ทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งหลายและก่อให้เกิดวิกฤตตามมาในอีกหลายประเทศรวมทั้งในเอเชีย ซึ่งเดิมเชื่อกันว่าจะไม่ได้รับผลกระทบรุนแรงมากนัก แต่กลับเผชิญความยุ่งยากมากขึ้นเรื่อยๆ ในการรับมือกับวิกฤตหนนี้ จนเป็นเหตุให้เกาหลีใต้ต้องประกาศแผนใช้เงินสูงถึง 130,000 ล้านดอลลาร์ สร้างเสถียรภาพให้กับตลาดเงิน ขณะที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจจีนลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 5 ปี ดัชนีหุ้นนิกเกอิของญี่ปุ่นผันผวนอย่างหนัก และทำสถิติลดลงในวันเดียวมากที่สุดกว่า 11 เปอร์เซ็นต์ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สิงคโปร์ยอมรับว่าเศรษฐกิจตกอยู่ในภาวะถดถอยแล้ว นายมันโมหัน สิงห์ นายกรัฐมนตรีอินเดีย ยอมรับระหว่างการแถลงข่าวที่ญี่ปุ่นก่อนหน้าเดินทางถึงปักกิ่งว่า อินเดียจะเผชิญกับภาวะชะลอตัวครั้งใหญ่ ในขณะที่ เศรษฐกิจของปากีสถานกำลังตกอยู่ในภาวะใกล้ล้มละลายจนต้องร้องขอความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) แล้ว
ถกวันแรกข้อเสนอปินส์ตั้งกองทุน
การประชุมอาเซมที่มีสมาชิกรวมทั้งสิ้น 45 ประเทศ จะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการด้วยการหารือระหว่างการรับประทานอาหารเช้าของผู้นำ 10 ชาติอาเซียนกับจีน ,ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ที่อาจมีการหารือถึงข้อเสนอของฟิลิปปินส์ ให้จัดตั้งกองทุนเงินทุนสำรองเพื่อให้ความช่วยเหลือประเทศที่เกิดวิกฤต ก่อนที่จะมีพิธีเปิดการประชุมโดยประธานาธิบดีหู จิ่น เทา ของจีน การประชุมครั้งนี้ถือเป็นการอุ่นเครื่องครั้งสำคัญก่อนที่หลายประเทศจะเดินทางเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศ จี 20 ตามคำเชิญชองประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช แห่งสหรัฐอเมริกาในกรุงวอชิงตัน ที่จะมีขึ้นในวันที่ 15 พฤศจิกายน 11 วัน หลังจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีในสหรัฐอเมริกาสิ้นสุดลง เพื่อทบทวนความคืบหน้าผลการออกมาตรการต่างๆ ที่สหรัฐออกมาก่อนหน้านี้
อนึ่ง กลุ่ม จี 20 ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2542 ประกอบด้วยสมาชิก 27 ประเทศ กลุ่มแรกคือ กลุ่มชาติอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ชาติ หรือกลุ่ม จี 7 (สหรัฐอเมริกา, อังกฤษ, แคนาดา, ฝรั่งเศส, อิตาลี, ญี่ปุ่น และเยอรมนี) และ สหภาพยุโรปที่เหลือเป็นกลุ่มประเทศเศรษฐกิจใหม่ขนาดใหญ่จากทั่วโลก คือ อาร์เจนตินา, ออสเตรเลีย, บราซิล, จีน, อินเดีย, อินโดนีเซีย, เม็กซิโก, รัสเซีย, ซาอุดีอาระเบีย, เกาหลีใต้, แอฟริกาใต้ และ ตุรกี
อ่านรายละเอียด
Tuesday, October 21, 2008
พระราชพิธีทรงยกสัปตปฎลเศวตฉัตรยอดพระเมรุ
วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2551 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินพรร้อมทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ โดยรถยนต์พระที่นั่งจากพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต มาถึงยังพระที่นั่งทรงธรรม พระเมรุ ท้องสนามหลวง เพื่อทรงประกอบพระราชพิธีทรงยกสัปตปฎลเศวตฉัตรยอดพระเมรุ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
แหล่งข้อมูล
พระเมรุมาศ พระเมรุ และเมรุ สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
แหล่งข้อมูล
พระเมรุมาศ พระเมรุ และเมรุ สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
Sunday, October 19, 2008
สภาวะเสื่อมสลาย ของการเกษตรไทย
สภาวะเสื่อมสลาย ของการเกษตรไทย
การเกษตรเป็นสิ่งที่มีบทบาทสร้างความมั่นคงให้แก่พื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ลึกซึ้งเหนือกว่าเงินตรา และผลที่ได้รับจากการทำเกษตรย่อมนำไปสู่การรู้คุณค่าของชีวิตตัวเองอย่างสำคัญด้วย
หัวข้อที่กำลังนำมาวิเคราะห์เจาะลึกว่า "สภาวะเสื่อมสลายของการเกษตรไทย" ถ้าจะถามว่า เหตุใดผู้เขียนจึงหยิบยกเอาหัวข้อนี้มาพิจารณา นอกจากนั้นอาจมีคำถามต่อไปอีกว่า "มีอะไรเป็นตัวบ่งชี้ถึงความเสื่อมสลายดังกล่าว?"
เมื่อพูดถึงปัญหาที่เป็นพื้นฐานของสังคมท้องถิ่น ก็คงหนีไม่พ้นที่จะต้องกล่าวถึงภาวะครอบงำทางวัฒนธรรม ที่แทรกซึมมาในกระบวนการจัดการศึกษา นอกจากนั้นแล้วถ้าใครจะมายึดความอุดมสมบูรณ์ภายในชาติบ้านเมือง สิ่งที่ได้ผลลึกซึ้งที่สุดก็คือ "การยึดครองเงื่อนไขภายในกระบวนการจัดการศึกษาของท้องถิ่น" ซึ่งมีผลในระยะยาวและมีความลุ่มลึกอย่างยากที่จะนำมาแก้ไขได้
เมืองไทยเคยมีการเกษตรเป็นพื้นฐานชีวิตของคนท้องถิ่น ที่เป็นมรดกตกทอดกันมาอย่างเป็นธรรมชาติ ดังนั้น ถ้าใครจะคิดมายึดครองชาติบ้านเมืองเพื่อหวังประโยชน์ทางเศรษฐกิจก็คงหนีไม่พ้นที่จะต้องทำลายระบบการเกษตรเป็นเป้าหมายสำคัญ
อ่านรายละเอียด
การเกษตรเป็นสิ่งที่มีบทบาทสร้างความมั่นคงให้แก่พื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ลึกซึ้งเหนือกว่าเงินตรา และผลที่ได้รับจากการทำเกษตรย่อมนำไปสู่การรู้คุณค่าของชีวิตตัวเองอย่างสำคัญด้วย
หัวข้อที่กำลังนำมาวิเคราะห์เจาะลึกว่า "สภาวะเสื่อมสลายของการเกษตรไทย" ถ้าจะถามว่า เหตุใดผู้เขียนจึงหยิบยกเอาหัวข้อนี้มาพิจารณา นอกจากนั้นอาจมีคำถามต่อไปอีกว่า "มีอะไรเป็นตัวบ่งชี้ถึงความเสื่อมสลายดังกล่าว?"
เมื่อพูดถึงปัญหาที่เป็นพื้นฐานของสังคมท้องถิ่น ก็คงหนีไม่พ้นที่จะต้องกล่าวถึงภาวะครอบงำทางวัฒนธรรม ที่แทรกซึมมาในกระบวนการจัดการศึกษา นอกจากนั้นแล้วถ้าใครจะมายึดความอุดมสมบูรณ์ภายในชาติบ้านเมือง สิ่งที่ได้ผลลึกซึ้งที่สุดก็คือ "การยึดครองเงื่อนไขภายในกระบวนการจัดการศึกษาของท้องถิ่น" ซึ่งมีผลในระยะยาวและมีความลุ่มลึกอย่างยากที่จะนำมาแก้ไขได้
เมืองไทยเคยมีการเกษตรเป็นพื้นฐานชีวิตของคนท้องถิ่น ที่เป็นมรดกตกทอดกันมาอย่างเป็นธรรมชาติ ดังนั้น ถ้าใครจะคิดมายึดครองชาติบ้านเมืองเพื่อหวังประโยชน์ทางเศรษฐกิจก็คงหนีไม่พ้นที่จะต้องทำลายระบบการเกษตรเป็นเป้าหมายสำคัญ
อ่านรายละเอียด
Sunday, October 05, 2008
ผลการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานคร
ผลการนับคะแนน 100% จากจำนวนผู้ใช้สิทธิ์ในกรุงเทพฯ ร้อยละ 54 มีดังนี้
นายอภิรักษ์ได้ 991,018 คะแนน
นายประภัสร์ จงสงวน ได้ 543,488 คะแนน
นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ได้ 340,616 คะแนน
นายเกรียงศักดิ์ เจริญวงศักดิ์ ได้ 260,051 คะแนน
นางลีน่า จังจรรจา ได้ 6,667 คะแนน
แหล่งข้อมูล
Exit Poll ผลการสำรวจก่อนการเลือกตั้ง
สื่อตปท.ตีข่าวอภิรักษ์จ่อคว้าเก้าอี้ที่นั่งผู้ว่าอีกสมัย คาดผลอย่างเป็นทางการรู้เช้าวันจันทร์นี้
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่ากรุงเทพมหานคร มีแนวโน้มที่จะประสบชัยชนะในการเลือกตั้งผู้ว่า เมื่อวันที่ 5 ก.ย. ได้เป็นผู้ว่าฯอีกสมัย หลังจากโพลสำรวจชี้ว่า เขามีคะแนนนำผู้สมัครคนอื่นๆ ในกทม.ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์มีฐานเสียงได้รับความนิยมจากชาวกรุงเทพ โดยก่อนหน้านี้ นายอภิรักษ์ ได้ประกาศชูนโยบายจะปรับปรุงสิ่งแวดล้อม,คุณภาพชีวีตของชาวกรุงเทพมหานคร 10 ล้านคน มุ่งแก้ปัญหาจราจร ระบบสาธารณูปโภค และการให้การศึกษา อย่างไรก็ตาม สำหรับผลอย่างเป็นทางการคาดว่า จะทราบกันในช่วงเช้าวันจันทร์
อย่างไรก็ตาม รอยเตอร์รายงานด้วยว่า การแข่งขันเลือกตั้งผู้ว่ากทม.ครั้งนี้ ยังมีสัสันเหลือเชื่อเกินขึ้น โดยผู้สมัครรายหนึ่งแต่งกยเป็นเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ ส่วนเจ้าหน้าที่หาเสียงผู้สมัครหญิงอีกราย หรือนางลีน่า จังจรรจา ต้องเสียชีวิตตกคลองขณะหาเสียง ส่วนนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ก็ตกเป็นข่าวใหญ่จากกรณีทำร้ายผู้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์รายหนึ่งด้วย แหล่งข้อมูล
นายอภิรักษ์ได้ 991,018 คะแนน
นายประภัสร์ จงสงวน ได้ 543,488 คะแนน
นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ได้ 340,616 คะแนน
นายเกรียงศักดิ์ เจริญวงศักดิ์ ได้ 260,051 คะแนน
นางลีน่า จังจรรจา ได้ 6,667 คะแนน
แหล่งข้อมูล
Exit Poll ผลการสำรวจก่อนการเลือกตั้ง
สื่อตปท.ตีข่าวอภิรักษ์จ่อคว้าเก้าอี้ที่นั่งผู้ว่าอีกสมัย คาดผลอย่างเป็นทางการรู้เช้าวันจันทร์นี้
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่ากรุงเทพมหานคร มีแนวโน้มที่จะประสบชัยชนะในการเลือกตั้งผู้ว่า เมื่อวันที่ 5 ก.ย. ได้เป็นผู้ว่าฯอีกสมัย หลังจากโพลสำรวจชี้ว่า เขามีคะแนนนำผู้สมัครคนอื่นๆ ในกทม.ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์มีฐานเสียงได้รับความนิยมจากชาวกรุงเทพ โดยก่อนหน้านี้ นายอภิรักษ์ ได้ประกาศชูนโยบายจะปรับปรุงสิ่งแวดล้อม,คุณภาพชีวีตของชาวกรุงเทพมหานคร 10 ล้านคน มุ่งแก้ปัญหาจราจร ระบบสาธารณูปโภค และการให้การศึกษา อย่างไรก็ตาม สำหรับผลอย่างเป็นทางการคาดว่า จะทราบกันในช่วงเช้าวันจันทร์
อย่างไรก็ตาม รอยเตอร์รายงานด้วยว่า การแข่งขันเลือกตั้งผู้ว่ากทม.ครั้งนี้ ยังมีสัสันเหลือเชื่อเกินขึ้น โดยผู้สมัครรายหนึ่งแต่งกยเป็นเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ ส่วนเจ้าหน้าที่หาเสียงผู้สมัครหญิงอีกราย หรือนางลีน่า จังจรรจา ต้องเสียชีวิตตกคลองขณะหาเสียง ส่วนนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ก็ตกเป็นข่าวใหญ่จากกรณีทำร้ายผู้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์รายหนึ่งด้วย แหล่งข้อมูล
Friday, October 03, 2008
การเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานคร วันที่ 5 ตุลาคม 2551
ขอเชิญประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งออกมาใช้สิทธิ์เลือกคนดีที่เหมาะสมเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในวันที่ 5 ตุลาคม 2551 ตั้งแต่เวลา 08.00 - 15.00 นข่าวการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานคร 2551
เบอร์ 1 นายกิตติศักดิ์ ถิรวิศิษฏ์ อาชีพ ค้าขาย
เบอร์ 2 นายเกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ อาชีพ นักธุรกิจ
เบอร์ 3 ร.อ.เมตตา เต็มชำนาญ อาชีพ รับราชการทหาร
เบอร์ 4 นายวราวุธ ฐานังกรณ์ อาชีพ ค้าขาย
เบอร์ 5 นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อาชีพ ข้าราชการการเมือง
เบอร์ 6 นายสุเมธ ตันธนาสิริกุล อาชีพ นักธุรกิจ
เบอร์ 7 นางลีนา จังจรรจา อาชีพ นักกฎหมายช่วยเหลือประชาชน
เบอร์ 8 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ อาชีพ นักการเมือง
เบอร์ 9 นายวิทยา จังกอบพัฒนา อาชีพ พนักงานธนาคาร
เบอร์ 10 นายประภัสร์ จงสงวน อาชีพ นักบริหารรัฐวิสาหกิจ
เบอร์ 11 นายภพศักดิ์ ปานสีทอง อาชีพ นักธุรกิจ
เบอร์ 12 นางธรณี ฤทธีธรรมรงค์ อาชีพ แม่บ้าน
เบอร์ 13 นายอุดม วิบูลเทพาชาติ อาชีพ นักธุรกิจ
เบอร์ 14 น.ส.วชิราภรณ์ อายุยืน อาชีพ นักบริหาร
เบอร์ 15 นายสมชาย ไพบูลย์ อาชีพ นักการเมืองท้องถิ่น
เบอร์ 16 ว่าที่ พ.ต.นิพนธ์ ซิ้มประยูร อาชีพ นักกฎหมาย
กทม.เผยรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯ กทม. ทั้ง 16 คน
ศูนย์ข้อมูลกรุงเทพมหานคร
ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในกรุงเทพมหานครมีประมาณ 4,200,000 คน เมื่อเวลา 14.00 น. ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เจ้าหน้าที่ประมวลผลการเลือกตั้งได้ซักซ้อมระบบการรายงานผลการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โดยเจ้าหน้าที่ได้บรรยายขั้นตอนการดำเนินการหลังปิดการลงคะแนนเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครว่า กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งพร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจนำหีบบัตรส่งต่อคณะกรรมการนับคะแนนประจำสถานที่นับคะแนนแต่ละแห่ง จากนั้นจะตรวจสอบความถูกต้องและเปิดหีบนับคะแนนนับยอดจำนวนบัตรกับที่รายงานไว้ แล้วจึงนำบัตรแยกเป็นมัดละ 50 บัตร นำใส่ถุงใสถุงละ 500 บัตร และนำไปรวมไว้ในภาชนะรวมบัตร เพื่อรอแจกจ่ายนับคะแนน
จากนั้น คณะกรรมการนับคะแนนจะมอบให้เจ้าหน้าที่นับคะแนน เพื่อดำเนินการนับคะแนน เมื่อนับคะแนนเสร็จแล้ว จะประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ ณ สถานที่นับคะแนน และส่งผลการประมวลผลคะแนนด้วยระบบออนไลน์ไปให้กับคณะกรรมการเลือกตั้งประจำท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร ที่ศูนย์ประสานงานเลือกตั้งกรุงเทพมหานคร โดยจะแสดงผลทางจอทีวีขนาดใหญ่ 2 จอ จนครบทั้ง 50 แห่ง และจะประกาศผลการนับคะแนนเลือกตั้งผู้ว่าฯ ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร โดยคาดว่า จะทราบผลอย่างไม่เป็นทางการในเวลา 01.00 น.ของวันที่ 6 ตุลาคม
นายประพันธ์ นัยโกวิท แถลงว่า วันนี้ ตนได้มาตรวจความพร้อมระบบการรายงานผลการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่ศูนย์ประสานการเลือกตั้งกรุงเทพมหานคร พบว่า เป็นไปด้วยความเรียบร้อยดี และเชื่อว่า ในวันที่ 5 ตุลาคมนี้ระบบรายงานผลการเลือกตั้งจะมีความถูกต้อง แม่นยำ ทั้งนี้ กรรมการการเลือกตั้งประจำ กทม. ได้รายงานไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้งถึงการเตรียมการเลือกตั้งในวันดังกล่าว ทุกอย่างมีความพร้อม 100 เปอร์เซ็นต์ในทุกด้าน ตั้งแต่การพิมพ์บัญชีรายชื่อ การติดประกาศรายชื่อผู้ลงเลือกตั้ง การแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยและเจ้าหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย และบัตรเลือกตั้งที่ส่งไปยังหน่วยเรียบร้อยแล้ว
นายประพันธ์ กล่าวว่า ในส่วนของบัตรเลือกตั้ง ซึ่งครั้งนี้มีผู้มีสิทธิเลือกตั้งในกรุงเทพมหานครมีประมาณ 4,200,000 คน โดยกรรมการเลือกตั้งได้พิมพ์บัตรเลือกตั้งไว้จำนวน 4,400,000 ใบ เนื่องจากเป็นการเผื่อจำนวนเพิ่มชื่อและถอนชื่อสิทธิเลือกตั้ง อีกทั้งเวลาส่งบัตรไปยังหน่วยก็ส่งไปเป็นเล่มไม่ได้ส่งบัตรเท่าจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม กรรมการเลือกตั้งประจำกทม.ได้จ่ายบัตรเลือกตั้งไปยังหน่วยเลือกตั้งในกรุงเทพทั้งหมด 6,337 หน่วย โดยจะมีการติดประกาศให้ทราบว่า มีบัตรเลือกตั้งในแต่ละหน่วยเลือกตั้งเท่าไร และหลังจากปิดเลือกตั้งจะมีการประกาศจำนวนผู้มาใช้สิทธิ ส่วนบัตรที่เหลือจะเจาะรูและร้อย ฉะนั้นบัตรเลือกตั้งทั้งหมดจะสามารถตรวจสอบจำนวนได้ อีกทั้งแต่ละหน่วยเลือกตั้งจะมีการติดตั้งกล้องวงจรปิด และตนได้ย้ำกับเจ้าหน้าที่ที่ดูแลการเลือกตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นกลางด้วยโดยเชื่อว่า การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นไปด้วยความสุจริตและโปร่งใส
ทั้งนี้ นายประพันธ์ กล่าวเชิญชวนชาวกรุงเทพมหานครที่มีสิทธิเลือกตั้งขอให้มาใช้สิทธิเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานคร ในวันที่ 5 ตุลาคมนี้ ตั้งแต่เวลา 8.00 - 15.00 น. โดยนายประพันธ์กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้มีความสำคัญมาก ซึ่งงบประมาณกรุงเทพต่อปีสูงถึง 6 หมื่นล้านบาทที่จะนำไปพัฒนากรุงเทพให้มีความเจริญและสวยงาม โดยอยากให้ประชาชนใช้โอกาสนี้แสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยมีระบอบประชาธิปไตย ถึงแม้ว่า การเมืองระดับประเทศจะสับสนวุ่นวาย และยิ่งมีผู้ใช้สิทธิจำนวนมากก็เป็นสิ่งยืนยันถึงกระบวนการเลือกตั้ง
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทาง กกต. จะมีการเตรียมรับมือกับภาพอากาศ หลังที่มีการพยากรณ์อากาศ ในวันที่ 5 ตุลาคมนี้ ว่าจะมีปริมาณฝนในช่วงเช้า ประมาณ 10 - 20 เปอร์เซ็นต์ และในช่วงบ่าย 60 - 80 เปอร์เซ็นต์ นายประพันธ์กล่าวว่า ปัญหาดินฟ้าอากาศ ทาง กรุงเทพมหานคร และ กกต.ประจำกทม. ได้มีการเตรียมการไว้แล้ว เพื่อป้องกันเอกสารและบัตรเลือกตั้งเสียหาย
ด้านนายรัฐพล รองปลัดกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า หากเกิดเหตุฝนตกหนัก ทางหน่วยได้จัดเตรียมเต็นท์พักรอไว้เพิ่มเติม และจะมีเจ้าหน้าเทศกิจเตรียมร่มไว้อำนวยความสะดวกผู้มาใช้สิทธิ อีกทั้งยังได้เตรียมถุงพลาสติกครอบหีบบัตรอีกทีหนึ่ง ก่อนส่งมายังศาลาว่าการกรุงเทพ โดยคาดว่า ในวันอาทิตย์ การจราจรคงไม่ติดขัดมากจนทำให้การขนหีบคะแนนเลือกตั้งล่าช้ากว่าที่กำหนดไว้ แหล่งข้อมูล
เบอร์ 1 นายกิตติศักดิ์ ถิรวิศิษฏ์ อาชีพ ค้าขาย
เบอร์ 2 นายเกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ อาชีพ นักธุรกิจ
เบอร์ 3 ร.อ.เมตตา เต็มชำนาญ อาชีพ รับราชการทหาร
เบอร์ 4 นายวราวุธ ฐานังกรณ์ อาชีพ ค้าขาย
เบอร์ 5 นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อาชีพ ข้าราชการการเมือง
เบอร์ 6 นายสุเมธ ตันธนาสิริกุล อาชีพ นักธุรกิจ
เบอร์ 7 นางลีนา จังจรรจา อาชีพ นักกฎหมายช่วยเหลือประชาชน
เบอร์ 8 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ อาชีพ นักการเมือง
เบอร์ 9 นายวิทยา จังกอบพัฒนา อาชีพ พนักงานธนาคาร
เบอร์ 10 นายประภัสร์ จงสงวน อาชีพ นักบริหารรัฐวิสาหกิจ
เบอร์ 11 นายภพศักดิ์ ปานสีทอง อาชีพ นักธุรกิจ
เบอร์ 12 นางธรณี ฤทธีธรรมรงค์ อาชีพ แม่บ้าน
เบอร์ 13 นายอุดม วิบูลเทพาชาติ อาชีพ นักธุรกิจ
เบอร์ 14 น.ส.วชิราภรณ์ อายุยืน อาชีพ นักบริหาร
เบอร์ 15 นายสมชาย ไพบูลย์ อาชีพ นักการเมืองท้องถิ่น
เบอร์ 16 ว่าที่ พ.ต.นิพนธ์ ซิ้มประยูร อาชีพ นักกฎหมาย
กทม.เผยรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯ กทม. ทั้ง 16 คน
ศูนย์ข้อมูลกรุงเทพมหานคร
ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในกรุงเทพมหานครมีประมาณ 4,200,000 คน เมื่อเวลา 14.00 น. ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เจ้าหน้าที่ประมวลผลการเลือกตั้งได้ซักซ้อมระบบการรายงานผลการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โดยเจ้าหน้าที่ได้บรรยายขั้นตอนการดำเนินการหลังปิดการลงคะแนนเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครว่า กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งพร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจนำหีบบัตรส่งต่อคณะกรรมการนับคะแนนประจำสถานที่นับคะแนนแต่ละแห่ง จากนั้นจะตรวจสอบความถูกต้องและเปิดหีบนับคะแนนนับยอดจำนวนบัตรกับที่รายงานไว้ แล้วจึงนำบัตรแยกเป็นมัดละ 50 บัตร นำใส่ถุงใสถุงละ 500 บัตร และนำไปรวมไว้ในภาชนะรวมบัตร เพื่อรอแจกจ่ายนับคะแนน
จากนั้น คณะกรรมการนับคะแนนจะมอบให้เจ้าหน้าที่นับคะแนน เพื่อดำเนินการนับคะแนน เมื่อนับคะแนนเสร็จแล้ว จะประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ ณ สถานที่นับคะแนน และส่งผลการประมวลผลคะแนนด้วยระบบออนไลน์ไปให้กับคณะกรรมการเลือกตั้งประจำท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร ที่ศูนย์ประสานงานเลือกตั้งกรุงเทพมหานคร โดยจะแสดงผลทางจอทีวีขนาดใหญ่ 2 จอ จนครบทั้ง 50 แห่ง และจะประกาศผลการนับคะแนนเลือกตั้งผู้ว่าฯ ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร โดยคาดว่า จะทราบผลอย่างไม่เป็นทางการในเวลา 01.00 น.ของวันที่ 6 ตุลาคม
นายประพันธ์ นัยโกวิท แถลงว่า วันนี้ ตนได้มาตรวจความพร้อมระบบการรายงานผลการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่ศูนย์ประสานการเลือกตั้งกรุงเทพมหานคร พบว่า เป็นไปด้วยความเรียบร้อยดี และเชื่อว่า ในวันที่ 5 ตุลาคมนี้ระบบรายงานผลการเลือกตั้งจะมีความถูกต้อง แม่นยำ ทั้งนี้ กรรมการการเลือกตั้งประจำ กทม. ได้รายงานไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้งถึงการเตรียมการเลือกตั้งในวันดังกล่าว ทุกอย่างมีความพร้อม 100 เปอร์เซ็นต์ในทุกด้าน ตั้งแต่การพิมพ์บัญชีรายชื่อ การติดประกาศรายชื่อผู้ลงเลือกตั้ง การแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยและเจ้าหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย และบัตรเลือกตั้งที่ส่งไปยังหน่วยเรียบร้อยแล้ว
นายประพันธ์ กล่าวว่า ในส่วนของบัตรเลือกตั้ง ซึ่งครั้งนี้มีผู้มีสิทธิเลือกตั้งในกรุงเทพมหานครมีประมาณ 4,200,000 คน โดยกรรมการเลือกตั้งได้พิมพ์บัตรเลือกตั้งไว้จำนวน 4,400,000 ใบ เนื่องจากเป็นการเผื่อจำนวนเพิ่มชื่อและถอนชื่อสิทธิเลือกตั้ง อีกทั้งเวลาส่งบัตรไปยังหน่วยก็ส่งไปเป็นเล่มไม่ได้ส่งบัตรเท่าจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม กรรมการเลือกตั้งประจำกทม.ได้จ่ายบัตรเลือกตั้งไปยังหน่วยเลือกตั้งในกรุงเทพทั้งหมด 6,337 หน่วย โดยจะมีการติดประกาศให้ทราบว่า มีบัตรเลือกตั้งในแต่ละหน่วยเลือกตั้งเท่าไร และหลังจากปิดเลือกตั้งจะมีการประกาศจำนวนผู้มาใช้สิทธิ ส่วนบัตรที่เหลือจะเจาะรูและร้อย ฉะนั้นบัตรเลือกตั้งทั้งหมดจะสามารถตรวจสอบจำนวนได้ อีกทั้งแต่ละหน่วยเลือกตั้งจะมีการติดตั้งกล้องวงจรปิด และตนได้ย้ำกับเจ้าหน้าที่ที่ดูแลการเลือกตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นกลางด้วยโดยเชื่อว่า การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นไปด้วยความสุจริตและโปร่งใส
ทั้งนี้ นายประพันธ์ กล่าวเชิญชวนชาวกรุงเทพมหานครที่มีสิทธิเลือกตั้งขอให้มาใช้สิทธิเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานคร ในวันที่ 5 ตุลาคมนี้ ตั้งแต่เวลา 8.00 - 15.00 น. โดยนายประพันธ์กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้มีความสำคัญมาก ซึ่งงบประมาณกรุงเทพต่อปีสูงถึง 6 หมื่นล้านบาทที่จะนำไปพัฒนากรุงเทพให้มีความเจริญและสวยงาม โดยอยากให้ประชาชนใช้โอกาสนี้แสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยมีระบอบประชาธิปไตย ถึงแม้ว่า การเมืองระดับประเทศจะสับสนวุ่นวาย และยิ่งมีผู้ใช้สิทธิจำนวนมากก็เป็นสิ่งยืนยันถึงกระบวนการเลือกตั้ง
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทาง กกต. จะมีการเตรียมรับมือกับภาพอากาศ หลังที่มีการพยากรณ์อากาศ ในวันที่ 5 ตุลาคมนี้ ว่าจะมีปริมาณฝนในช่วงเช้า ประมาณ 10 - 20 เปอร์เซ็นต์ และในช่วงบ่าย 60 - 80 เปอร์เซ็นต์ นายประพันธ์กล่าวว่า ปัญหาดินฟ้าอากาศ ทาง กรุงเทพมหานคร และ กกต.ประจำกทม. ได้มีการเตรียมการไว้แล้ว เพื่อป้องกันเอกสารและบัตรเลือกตั้งเสียหาย
ด้านนายรัฐพล รองปลัดกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า หากเกิดเหตุฝนตกหนัก ทางหน่วยได้จัดเตรียมเต็นท์พักรอไว้เพิ่มเติม และจะมีเจ้าหน้าเทศกิจเตรียมร่มไว้อำนวยความสะดวกผู้มาใช้สิทธิ อีกทั้งยังได้เตรียมถุงพลาสติกครอบหีบบัตรอีกทีหนึ่ง ก่อนส่งมายังศาลาว่าการกรุงเทพ โดยคาดว่า ในวันอาทิตย์ การจราจรคงไม่ติดขัดมากจนทำให้การขนหีบคะแนนเลือกตั้งล่าช้ากว่าที่กำหนดไว้ แหล่งข้อมูล
Monday, September 29, 2008
ทุนการศึกษาเพื่อผลิตครูในบ้านเกิด
นางภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก ไซม่อน หรือ ปุ๋ย อดีตนางงามจักรวาล ปี 2531 ผู้ก่อตั้งมูลนิธิ Angels Wings Foundation International เปิดเผยว่า มูลนิธิได้จัดตั้งโครงการ "ทุนการศึกษาเพื่อผลิตครูในบ้านเกิด" ขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัตถุประสงค์หลักของมูลนิธิ Angels Wings ที่มุ่งเน้นช่วยเหลือเด็กกำพร้าและเด็กด้อยโอกาสให้มีโอกาสที่ดีทางด้านการศึกษา และเป็นความต่อเนื่องของการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยจากเหตุการณ์ภัยภิบัติสึนามิในปี 2547 ที่เลือกทำโครงการทุนการศึกษาเพื่อผลิตครูในบ้านเกิด เพราะมองว่าทรัพยากรมนุษย์เป็นหัวใจของการพัฒนาประเทศ และการศึกษาเป็นการติดอาวุธทางปัญญา เพื่อให้เด็กและเยาวชนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรู้ความสามารถ ปรับตัวกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สามารถนำความรู้ไปพัฒนาตนเอง สังคม และประเทศชาติให้รุ่งเรือง
นางภรณ์ทิพย์กล่าวว่า ส่วนกลุ่มเป้าหมายในโครงการที่จะได้รับเลือกให้รับทุนการศึกษาระดับปริญญาตรีทางครุศาสตรบัณฑิต หลักสูตร 5 ปี จะคัดเลือกจากนักเรียนโรงเรียนสังกัดเทศบาลประจำจังหวัด เรียนดี เกรดเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 3.00 มีความประพฤติดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ มีใจรักศรัทธาในอาชีพครู มีจิตเมตตากรุณา อุตสาหะ มีวินัย มีจิตสำนึกรักบ้านเกิด และอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น ต้องเป็นนักเรียนที่มีพ่อแม่ หรือผู้ปกครองอาศัยอยู่ภายในจังหวัดนั้น โครงการนี้จะเริ่มตั้งแต่ปีการศึกษา 2552-2559 เมื่อผู้รับทุนเรียนจบแล้ว จะไปเป็นครูของโรงเรียนในสังกัดเทศบาลในจังหวัดของตนเอง
"ที่ตั้งเงื่อนไขให้ผู้รับทุนต้องไปเป็นครูโรงเรียนเทศบาลเมื่อเรียนจบ เพราะมองว่าครูเป็นผู้ปกครองคนที่สองรองจากพ่อแม่ เมื่อลูกของเราทุกๆ คนออกจากบ้าน ก็ต้องอยู่กับครู ครูเป็นผู้ที่ดูแลลูกของเรา และสั่งสอนลูกเราให้เป็นคนดี จึงอยากสนับสนุนผู้ที่มาทำหน้าที่ตรงนี้ ที่สำคัญอยากให้เด็กเหล่านี้เป็นผู้สืบทอดวัฒนธรรมประเพณีของท้องถิ่น ดำรงไว้ซึ่งภูมิปัญญา อยากให้คนท้องถิ่นได้ทำงานใกล้ๆ บ้าน เพื่อจะได้มีเวลาดูแลพ่อแม่ สังคมไทยเป็นสังคมที่อบอุ่น อยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ปุ๋ยยังอยากให้เป็นอย่างนี้ตลอดไป ถ้าเด็กๆ คนใดสนใจสมัครเข้ารับทุน ให้ติดต่อที่เทศบาลนครภูเก็ต หรือศูนย์ประสานงาน มูลนิธิ Angels Wings โทร.0-2391-6719" นางภรณ์ทิพย์กล่าว แหล่งข้อมูล
นางภรณ์ทิพย์กล่าวว่า ส่วนกลุ่มเป้าหมายในโครงการที่จะได้รับเลือกให้รับทุนการศึกษาระดับปริญญาตรีทางครุศาสตรบัณฑิต หลักสูตร 5 ปี จะคัดเลือกจากนักเรียนโรงเรียนสังกัดเทศบาลประจำจังหวัด เรียนดี เกรดเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 3.00 มีความประพฤติดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ มีใจรักศรัทธาในอาชีพครู มีจิตเมตตากรุณา อุตสาหะ มีวินัย มีจิตสำนึกรักบ้านเกิด และอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น ต้องเป็นนักเรียนที่มีพ่อแม่ หรือผู้ปกครองอาศัยอยู่ภายในจังหวัดนั้น โครงการนี้จะเริ่มตั้งแต่ปีการศึกษา 2552-2559 เมื่อผู้รับทุนเรียนจบแล้ว จะไปเป็นครูของโรงเรียนในสังกัดเทศบาลในจังหวัดของตนเอง
"ที่ตั้งเงื่อนไขให้ผู้รับทุนต้องไปเป็นครูโรงเรียนเทศบาลเมื่อเรียนจบ เพราะมองว่าครูเป็นผู้ปกครองคนที่สองรองจากพ่อแม่ เมื่อลูกของเราทุกๆ คนออกจากบ้าน ก็ต้องอยู่กับครู ครูเป็นผู้ที่ดูแลลูกของเรา และสั่งสอนลูกเราให้เป็นคนดี จึงอยากสนับสนุนผู้ที่มาทำหน้าที่ตรงนี้ ที่สำคัญอยากให้เด็กเหล่านี้เป็นผู้สืบทอดวัฒนธรรมประเพณีของท้องถิ่น ดำรงไว้ซึ่งภูมิปัญญา อยากให้คนท้องถิ่นได้ทำงานใกล้ๆ บ้าน เพื่อจะได้มีเวลาดูแลพ่อแม่ สังคมไทยเป็นสังคมที่อบอุ่น อยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ปุ๋ยยังอยากให้เป็นอย่างนี้ตลอดไป ถ้าเด็กๆ คนใดสนใจสมัครเข้ารับทุน ให้ติดต่อที่เทศบาลนครภูเก็ต หรือศูนย์ประสานงาน มูลนิธิ Angels Wings โทร.0-2391-6719" นางภรณ์ทิพย์กล่าว แหล่งข้อมูล
Thursday, September 25, 2008
Mind mapping
Mind map
Mind Mapping is a useful technique that improves the way you take notes, and supports and enhances your creative problem solving.Source
Problem Solving Techniques
Leadership skills
Mind Mapping is a useful technique that improves the way you take notes, and supports and enhances your creative problem solving.Source
Problem Solving Techniques
Leadership skills
Monday, September 22, 2008
สารเมลามีนคืออะไร
สารเมลามีนคืออะไร
สารเมลามีน คือสารเคมีที่ใช้ผสมในการผลิตเม็ดพลาสติก และพบในยาฆ่าแมลง ซึ่งเมื่อถูกความร้อนแล้วอาจมีสารฟอร์มัลดิไฮด์ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายแพร่กระจายออกมา คณะกรรมการอาหารและยา และกระทรวงสาธารณสุขของไทยเคยแถลงการณ์ร่วมกันเกี่ยวกับอันตรายของสารเมลามีนที่ใช้ในภาชนะใส่อาหาร ตั้งแต่เมื่อปีพ.ศ. 2547 ว่า อะมิโนเรซินที่เป็นโพลิเมอร์ของเมลามีนกับฟอร์มัลดีไฮด์นี้ หากมีการนำไปใช้ไม่ถูกต้อง อาจทำให้ผู้บริโภคได้รับอันตรายจากสารฟอร์มัลดีไฮด์ที่เป็นสารก่อมะเร็งในระบบทางเดินหายใจได้
บทวิเคราะห์ : วิกฤตคุณภาพนมผงจีน โอกาสของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมไทย
ข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งของจีนในรอบเดือนนี้ นอกจากการจัดแข่งขันกีฬาระดับโลกอย่างการแข่งขันกีฬาพาราลิมปิกแล้วยังมีข่าวดังที่ทารก 3 ราย เสียชีวิต และอีกกว่าหกพันคนที่ป่วยหนักจากการดื่มนมผงที่ผลิตขึ้นมาในประเทศจีน จนกระทั่งบริษัทซันลู่กรุ๊ป ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทต้นเหตุผู้ผลิตนมผงมรณะดังกล่าวต้องเรียกเก็บสินค้าคืน และประธานบริษัทก็ถูกรวบตัวเพื่อขยายผลดำเนินคดีต่อ
หากยังจำกันได้ สินค้าที่ผลิตในประเทศจีนนั้นมีปัญหาด้านคุณภาพบ่อยครั้ง โดยเฉพาะสินค้าสำหรับเด็ก เช่นการที่บริษัทแมตเทลต้องเรียกสินค้าที่เป็นของเล่นสำหรับเด็กในอเมริกาคืนทั้งหมดเมื่อปีก่อน หลังจากที่พบการปนเปื้อนของสารตะกั่วในสีที่ใช้ในของเล่นซึ่งมีปริมาณมากกว่าที่กำหนดไว้ถึง 180 เท่า และเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมานี้ ก็พบว่ามีเด็กทารกที่ล้มป่วยจากโรคนิ่วในไตถึงกว่าหกพันคน และมีสามคนที่เสียชีวิตจากสาเหตุเดียวกัน ซึ่งเป็นผลมาจากการดื่มนมที่ปนเปื้อนสารเมลามีน
สารเมลามีนคืออะไร
สารเมลามีน คือสารเคมีที่ใช้ผสมในการผลิตเม็ดพลาสติก และพบในยาฆ่าแมลง ซึ่งเมื่อถูกความร้อนแล้วอาจมีสารฟอร์มัลดิไฮด์ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายแพร่กระจายออกมา คณะกรรมการอาหารและยา และกระทรวงสาธารณสุขของไทยเคยแถลงการณ์ร่วมกันเกี่ยวกับอันตรายของสารเมลามีนที่ใช้ในภาชนะใส่อาหาร ตั้งแต่เมื่อปีพ.ศ. 2547 ว่า อะมิโนเรซินที่เป็นโพลิเมอร์ของเมลามีนกับฟอร์มัลดีไฮด์นี้ หากมีการนำไปใช้ไม่ถูกต้อง อาจทำให้ผู้บริโภคได้รับอันตรายจากสารฟอร์มัลดีไฮด์ที่เป็นสารก่อมะเร็งในระบบทางเดินหายใจได้
และในกรณีที่พบสารเมลามีนปนเปื้อนในนมผงสำหรับทารกนี้ ทางสื่อของจีนรายงานว่าบริษัทผู้ผลิตนมผงจีนบางรายนำสารดังกล่าวมาใส่ในนมเพื่อเพิ่มความเข้มข้น ซึ่งบริษัทผู้ผลิตบางรายก็โต้ว่าเกษตรกรเป็นผู้เติมสารอันตรายนี้เข้าไปเอง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การมีสารเมลามีนปนเปื้อนในนมผงนี้ ก็ทำให้เด็กที่บริโภคเข้าไปเกิดอาการเป็นนิ่วในไต ซึ่งเกิดจากการที่ตะกอนของเมลามีนซึ่งเป็นสิ่งแปลกปลอมไม่สามารถย่อยสลายได้นั้นเดินทางเข้าไปสู่ระบบการย่อยอาหารพร้อมกับน้ำนม
มาตรการการจัดการของจีนต่อผู้ผลิตนมผงผสมสารปนเปื้อน
หลังจากที่พบว่ามีเด็กทารกล้มป่วยและเสียชีวิตจากการที่ดื่มนมปนเปื้อนสารเมลามีนไปแล้ว ทางการจีนก็มีมาตรการในการจัดการเหตุสลดดังกล่าวโดยสั่งปลดเจ้าหน้าที่ของรัฐจำนวนสี่รายในแคว้นเหอเป่ย ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของบริษัทซานลู่ หนึ่งในบริษัทที่ผลิตนมอันตรายดังกล่าว นอกจากนี้ตำรวจจีนก็รวบตัวประธานบริษัทซันลู่ ไว้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน ที่ผ่านมา ในขณะเดียวกันบริษัทซันลู่ก็ได้เรียกเก็บสินค้าจากทั่วประเทศคืนเป็นการด่วนอีกด้วย
จากกรณีนี้ ทางการจีนจึงได้เริ่มตรวจสอบกรณีนี้อย่างจริงจังไปทั่วประเทศ และพบว่ามีอีก 22 บริษัทที่ผลิตนมปนเปื้อนสารเมลามีนนี้ด้วยเช่นกัน
หน่วยงานด้านการตรวจสอบคุณภาพอาหารของจีนก็ได้เปิดเผยว่า บริษัทกวางตุ้ง ยาชิลี กรุ๊ป และฉิงเดา ซันแคร์ ซึ่งได้ส่งออกผลิตภัณฑ์นมผงให้แก่หลายประเทศ ก็ได้ระงับการส่งออกผลิตภัณฑ์นมของตนแล้ว
อย. ไม่พบผลิตภัณฑ์นมผงจากจีนปนเปื้อนสารเมลามีนในไทย
ทางด้านประเทศไทย นายชวรัตน์ ชาญวีรกุล รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เร่งตรวจสอบผลิตภัณฑ์นมผงทุกชนิดที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากประเทศจีน ที่พบมีปัญหาอยู่ในขณะนี้ ซึ่งผลการตรวจสอบไม่พบการนำเข้าแต่อย่างใด ทั้งนี้ได้กำชับให้กองงานด่านอาหารและยา เฝ้าระวังการนำเข้าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นพิเศษ รวมทั้งผลิตภัณฑ์นมที่นำเข้าจากประเทศต่างๆ และยี่ห้ออื่นๆ ด้วย เพื่อป้องกันความปลอดภัยให้แก่เด็กทารกในประเทศ โดยถ้ามาจากแหล่งกำเนิดตามที่เป็นข่าว ให้อายัดและเก็บตัวอย่างมาวิเคราะห์ พร้อมเรียกร้องให้หันมาให้ความสำคัญในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพราะนอกจากปลอดภัยต่อทารกแล้ว ยังรับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเด็กอีกด้วย
นมผงจีนกับนมโคไทย
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา โชค บูลกุล กรรมการผู้จัดการกลุ่มบริษัท ฟาร์มโชคชัย จำกัด เปิดเผยว่า ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์นมของไทย หันมานำเข้านมผงราคาถูกจากจีน ซึ่งมีคุณภาพต่ำในปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อทดแทนการนำเข้านมผงจากออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ แต่นมผงจากจีนไม่มีคุณภาพ จึงต้องการให้โรงงานผลิตน้ำนมและผู้บริโภคควรให้ความระมัดระวัง
ทั้งนี้ เมื่อหลายปีก่อน เคยมีการประท้วงของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม โดยการนำน้ำนมดิบมาเททิ้ง เพราะผลิตออกมาแล้วไม่มีผู้รับซื้อ และถูกกดราคาจนต่ำเกินกว่าจะรับได้มาแล้ว
อันที่จริงแล้ว การเกิดวิกฤตด้านคุณภาพนมของจีนนี้ น่าจะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมของไทย ซึ่งถือว่ามีคุณภาพกว่า สามารถฟื้นตัวได้อีกครั้ง และหากภาครัฐให้ความใส่ใจอย่างเพียงพอ อุตสาหกรรมนมโคไทย ก็อาจจะพัฒนา และขยายตัวได้มากกว่านี้อย่างแน่นอน อีกทั้ง การเกิดวิกฤตด้านคุณภาพสินค้าของจีนในครั้งนี้ น่าจะเป็นตัวกระตุ้นจิตสำนึกให้ผู้ผลิตทั่วโลกคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคมากกว่าการแสวงหาผลกำไรได้อีกด้วย แหล่งข้อมูล
สารเมลามีน คือสารเคมีที่ใช้ผสมในการผลิตเม็ดพลาสติก และพบในยาฆ่าแมลง ซึ่งเมื่อถูกความร้อนแล้วอาจมีสารฟอร์มัลดิไฮด์ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายแพร่กระจายออกมา คณะกรรมการอาหารและยา และกระทรวงสาธารณสุขของไทยเคยแถลงการณ์ร่วมกันเกี่ยวกับอันตรายของสารเมลามีนที่ใช้ในภาชนะใส่อาหาร ตั้งแต่เมื่อปีพ.ศ. 2547 ว่า อะมิโนเรซินที่เป็นโพลิเมอร์ของเมลามีนกับฟอร์มัลดีไฮด์นี้ หากมีการนำไปใช้ไม่ถูกต้อง อาจทำให้ผู้บริโภคได้รับอันตรายจากสารฟอร์มัลดีไฮด์ที่เป็นสารก่อมะเร็งในระบบทางเดินหายใจได้
บทวิเคราะห์ : วิกฤตคุณภาพนมผงจีน โอกาสของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมไทย
ข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งของจีนในรอบเดือนนี้ นอกจากการจัดแข่งขันกีฬาระดับโลกอย่างการแข่งขันกีฬาพาราลิมปิกแล้วยังมีข่าวดังที่ทารก 3 ราย เสียชีวิต และอีกกว่าหกพันคนที่ป่วยหนักจากการดื่มนมผงที่ผลิตขึ้นมาในประเทศจีน จนกระทั่งบริษัทซันลู่กรุ๊ป ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทต้นเหตุผู้ผลิตนมผงมรณะดังกล่าวต้องเรียกเก็บสินค้าคืน และประธานบริษัทก็ถูกรวบตัวเพื่อขยายผลดำเนินคดีต่อ
หากยังจำกันได้ สินค้าที่ผลิตในประเทศจีนนั้นมีปัญหาด้านคุณภาพบ่อยครั้ง โดยเฉพาะสินค้าสำหรับเด็ก เช่นการที่บริษัทแมตเทลต้องเรียกสินค้าที่เป็นของเล่นสำหรับเด็กในอเมริกาคืนทั้งหมดเมื่อปีก่อน หลังจากที่พบการปนเปื้อนของสารตะกั่วในสีที่ใช้ในของเล่นซึ่งมีปริมาณมากกว่าที่กำหนดไว้ถึง 180 เท่า และเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมานี้ ก็พบว่ามีเด็กทารกที่ล้มป่วยจากโรคนิ่วในไตถึงกว่าหกพันคน และมีสามคนที่เสียชีวิตจากสาเหตุเดียวกัน ซึ่งเป็นผลมาจากการดื่มนมที่ปนเปื้อนสารเมลามีน
สารเมลามีนคืออะไร
สารเมลามีน คือสารเคมีที่ใช้ผสมในการผลิตเม็ดพลาสติก และพบในยาฆ่าแมลง ซึ่งเมื่อถูกความร้อนแล้วอาจมีสารฟอร์มัลดิไฮด์ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายแพร่กระจายออกมา คณะกรรมการอาหารและยา และกระทรวงสาธารณสุขของไทยเคยแถลงการณ์ร่วมกันเกี่ยวกับอันตรายของสารเมลามีนที่ใช้ในภาชนะใส่อาหาร ตั้งแต่เมื่อปีพ.ศ. 2547 ว่า อะมิโนเรซินที่เป็นโพลิเมอร์ของเมลามีนกับฟอร์มัลดีไฮด์นี้ หากมีการนำไปใช้ไม่ถูกต้อง อาจทำให้ผู้บริโภคได้รับอันตรายจากสารฟอร์มัลดีไฮด์ที่เป็นสารก่อมะเร็งในระบบทางเดินหายใจได้
และในกรณีที่พบสารเมลามีนปนเปื้อนในนมผงสำหรับทารกนี้ ทางสื่อของจีนรายงานว่าบริษัทผู้ผลิตนมผงจีนบางรายนำสารดังกล่าวมาใส่ในนมเพื่อเพิ่มความเข้มข้น ซึ่งบริษัทผู้ผลิตบางรายก็โต้ว่าเกษตรกรเป็นผู้เติมสารอันตรายนี้เข้าไปเอง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การมีสารเมลามีนปนเปื้อนในนมผงนี้ ก็ทำให้เด็กที่บริโภคเข้าไปเกิดอาการเป็นนิ่วในไต ซึ่งเกิดจากการที่ตะกอนของเมลามีนซึ่งเป็นสิ่งแปลกปลอมไม่สามารถย่อยสลายได้นั้นเดินทางเข้าไปสู่ระบบการย่อยอาหารพร้อมกับน้ำนม
มาตรการการจัดการของจีนต่อผู้ผลิตนมผงผสมสารปนเปื้อน
หลังจากที่พบว่ามีเด็กทารกล้มป่วยและเสียชีวิตจากการที่ดื่มนมปนเปื้อนสารเมลามีนไปแล้ว ทางการจีนก็มีมาตรการในการจัดการเหตุสลดดังกล่าวโดยสั่งปลดเจ้าหน้าที่ของรัฐจำนวนสี่รายในแคว้นเหอเป่ย ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของบริษัทซานลู่ หนึ่งในบริษัทที่ผลิตนมอันตรายดังกล่าว นอกจากนี้ตำรวจจีนก็รวบตัวประธานบริษัทซันลู่ ไว้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน ที่ผ่านมา ในขณะเดียวกันบริษัทซันลู่ก็ได้เรียกเก็บสินค้าจากทั่วประเทศคืนเป็นการด่วนอีกด้วย
จากกรณีนี้ ทางการจีนจึงได้เริ่มตรวจสอบกรณีนี้อย่างจริงจังไปทั่วประเทศ และพบว่ามีอีก 22 บริษัทที่ผลิตนมปนเปื้อนสารเมลามีนนี้ด้วยเช่นกัน
หน่วยงานด้านการตรวจสอบคุณภาพอาหารของจีนก็ได้เปิดเผยว่า บริษัทกวางตุ้ง ยาชิลี กรุ๊ป และฉิงเดา ซันแคร์ ซึ่งได้ส่งออกผลิตภัณฑ์นมผงให้แก่หลายประเทศ ก็ได้ระงับการส่งออกผลิตภัณฑ์นมของตนแล้ว
อย. ไม่พบผลิตภัณฑ์นมผงจากจีนปนเปื้อนสารเมลามีนในไทย
ทางด้านประเทศไทย นายชวรัตน์ ชาญวีรกุล รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เร่งตรวจสอบผลิตภัณฑ์นมผงทุกชนิดที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากประเทศจีน ที่พบมีปัญหาอยู่ในขณะนี้ ซึ่งผลการตรวจสอบไม่พบการนำเข้าแต่อย่างใด ทั้งนี้ได้กำชับให้กองงานด่านอาหารและยา เฝ้าระวังการนำเข้าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นพิเศษ รวมทั้งผลิตภัณฑ์นมที่นำเข้าจากประเทศต่างๆ และยี่ห้ออื่นๆ ด้วย เพื่อป้องกันความปลอดภัยให้แก่เด็กทารกในประเทศ โดยถ้ามาจากแหล่งกำเนิดตามที่เป็นข่าว ให้อายัดและเก็บตัวอย่างมาวิเคราะห์ พร้อมเรียกร้องให้หันมาให้ความสำคัญในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพราะนอกจากปลอดภัยต่อทารกแล้ว ยังรับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเด็กอีกด้วย
นมผงจีนกับนมโคไทย
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา โชค บูลกุล กรรมการผู้จัดการกลุ่มบริษัท ฟาร์มโชคชัย จำกัด เปิดเผยว่า ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์นมของไทย หันมานำเข้านมผงราคาถูกจากจีน ซึ่งมีคุณภาพต่ำในปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อทดแทนการนำเข้านมผงจากออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ แต่นมผงจากจีนไม่มีคุณภาพ จึงต้องการให้โรงงานผลิตน้ำนมและผู้บริโภคควรให้ความระมัดระวัง
ทั้งนี้ เมื่อหลายปีก่อน เคยมีการประท้วงของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม โดยการนำน้ำนมดิบมาเททิ้ง เพราะผลิตออกมาแล้วไม่มีผู้รับซื้อ และถูกกดราคาจนต่ำเกินกว่าจะรับได้มาแล้ว
อันที่จริงแล้ว การเกิดวิกฤตด้านคุณภาพนมของจีนนี้ น่าจะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมของไทย ซึ่งถือว่ามีคุณภาพกว่า สามารถฟื้นตัวได้อีกครั้ง และหากภาครัฐให้ความใส่ใจอย่างเพียงพอ อุตสาหกรรมนมโคไทย ก็อาจจะพัฒนา และขยายตัวได้มากกว่านี้อย่างแน่นอน อีกทั้ง การเกิดวิกฤตด้านคุณภาพสินค้าของจีนในครั้งนี้ น่าจะเป็นตัวกระตุ้นจิตสำนึกให้ผู้ผลิตทั่วโลกคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคมากกว่าการแสวงหาผลกำไรได้อีกด้วย แหล่งข้อมูล
Saturday, September 20, 2008
สูตรการเมืองใหม่
“ผู้จัดการรายสัปดาห์” ได้จัดเสวนาร่วมกับนักวิชาการ และนักธุรกิจชื่อดัง อาทิ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ นักวิชาการอิสระ, ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดี สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, ปรีดา เตียสุวรรณ์ นักธุรกิจแถวหน้าของเมืองไทย, เกียรติพงศ์ น้อยใจบุญ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอกรัฐวิศวกรรม จำกัด (มหาชน), มนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เพื่อหาทางออกให้กับการเมืองของไทยที่กำลังบอบช้ำเสียหายอย่างนี้ว่า แนวทางของ “การเมืองใหม่” ที่เหมาะกับเมืองไทยจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร
สูตรหนึ่ง
ลดผู้แทนแบ่งเขต
เพิ่มผู้แทนกลุ่มอาชีพ
สูตรนี้จะว่าไปแล้วไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด เพราะการเมืองภาคประชาชนเป็นเรื่องพูดกันมานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นประชาธิปไตยในชุมชน ประชาธิปไตยในท้องถิ่น เพียงแต่ภาพเริ่มเห็นชัดเจนมากขึ้น-มากขึ้น จากการเข้าร่วมชุมนุมของประชาชนที่เวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ดร.เอนก เสนอว่าสูตรนี้แบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก เป็นเรื่องของเลือกตั้งที่ประชาชนมีส่วนร่วมเช่นเดิม เพียงแต่ลดจำนวนผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตพื้นที่ หรือ Territorial Representative ลง แล้วให้เพิ่มผู้แทนที่มาจากสายอาชีพ หรือ Functional Representative หรือ Occupational Representative ขึ้นมา เช่น จากเดิมผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้งจากแบ่งเขตพื้นที่อาจจะมี 400 คน ให้เหลือเพียง 200 คน ที่เหลือให้คัดเลือกจากตัวแทนกลุ่มอาชีพต่างๆ เช่น แพทย์ พยาบาล สถาปนิก ชาวนา หรือกรรมกร เป็นต้น
“สัดส่วนเป็นแค่ตุ๊กตา แต่คิดว่ามันน่าจะเท่าๆกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสส.แบ่งเขต ส่วนปาร์ตี้ลิสต์ถ้าอยากจะมีก็ให้เป็นครึ่งหนึ่งของ สส. ทั้ง 2 ประเภทนั้น
ที่ผมคิดอย่างนี้เพราะอยากแหกกรอบความคิดในปัจจุบันที่เป็นการ Represent โดยใช้พื้นที่ เช่น เขตละ 3 คน ถ้าเราเห็นเนื้อหาในการคุยในสภาก็ไม่มีเรื่องอะไร เพราะมันไม่มีตัวแทนอาชีพที่หลากหลายคอยเสนอ คอยปกป้องผลประโยชน์ของแต่ละฟังก์ชั่น ดังนั้นแบบนี้ก็ไม่เลว”
ในส่วนแรกนี้ เกียรติพงศ์ ให้ความเห็นเสริมว่า สิ่งสำคัญของสูตรนี้คือ จะต้องมีกฎเกณฑ์ควบคุมอีกชั้นหนึ่งว่า การจะคัดเลือกสมาคมวิชาชีพนั้นมีวิธีการคัดเลือกอย่างไร มิเช่นนั้นทุกคนก็สามารถตั้งเป็นสมาคมวิชาชีพได้หมด จากนั้นก็ใช้ความเป็นพวกเลือกคนของตนเองเข้ามา ดังนั้น จึงต้องขึ้นทะเบียนก่อนว่าอาชีพไหนต้องถูกคัดเข้ามาก่อน และต้องมีขั้นตอนในการเลือก เช่น อาจใช้วิธีพิจารณาจากตัวเลขการเสียภาษี สมาคมไหนเสียภาษีมากที่สุดตั้งแต่ 1-100 เป็นต้นไปมีสิทธิ์เสนอคนของตนเองขึ้นมาโดยแต่ละสมาคมมีสิทธิ์ออกเสียงเพียงเสียงเดียวเท่านั้น ซึ่งจะทำให้เป็นประชาธิปไตย
ปรีดา ให้ทัศนะเพิ่มอีกว่า การเลือกแบบทางตรง (การเลือกตั้งแบบแบ่งเขต) เท่ากับเป็นการยอมรับสิทธิถึงความเป็นเจ้าของประเทศ เพื่อทำให้เกิดการมีส่วนร่วม อันนี้เราต้องให้เป็นหลัก ส่วนทางสายอาชีพที่เรียกว่าทางอ้อม มันดีที่ว่าจะเป็นการดันคนที่มีความรู้ทางสายอาชีพที่เป็นพลังทางด้านเศรษฐกิจจริงๆเข้ามา ถ้าได้พวกนี้เข้ามาจำนวนหนึ่งก็จะมาสร้างความเข้าใจในสภาผู้แทนราษฎร ไม่ว่าเรื่องสังคมเฉพาะอย่างในกรณีมีเอ็นจีโอเข้ามา มันจะมีความรู้ที่แน่นอนเฉพาะกลุ่ม เมื่อประสานความรู้จากคนที่ได้มาจากทางตรง ซึ่งจะเข้าใจปัญหาของชาวบ้าน ปัญหาสังคมท้องถิ่นได้ดีกว่า
“มันเป็นกระบวนการสมบูรณ์แบบ ถ้าคุณใช้ทางตรงอย่างเดียวเข้ามาก็เสียคือจะไม่มีองค์ความรู้เลย ผมมองว่าทางอ้อมจะช่วยให้มีองค์ความรู้มากขึ้นในสภา”
ส่วนที่สอง ด้านการตรวจสอบ ต้องให้ผู้แทนประชาชนที่มาจากการเลือกตั้งสามารถถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวด เข้มข้นทั้งจากประชาชน และองค์กรอิสระที่ตั้งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น คณะกรรมการการเลือกตั้ง ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม การเมืองใหม่สูตรนี้ใช่ว่าจะทำให้การเมืองบ้านเราสะอาด บริสุทธิ์ ยุติธรรม ใสสะอาด ดังที่เราวาดหวัง เพราะหลายคนในวงเสวนาเชื่อว่า อีกไม่นานก็จะมีการซื้อเสียงในสภาเกิดขึ้นอีก เพียงแต่สูตรนี้มีความหลากหลายในกลุ่มอาชีพมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้มีการคานอำนาจ และถ่วงดุลอำนาจกันได้ดีขึ้น
สูตรที่สอง
นักการเมืองเลิกสังกัดพรรค
การที่ผู้สมัคร สส. ต้องสังกัดพรรคเป็นการลดความเป็นอิสระทางด้านความคิดเห็นทางการเมืองของ สส. แต่ไปเพิ่มดำนาจการต่อรองให้กับผู้มีอำนาจในพรรคการเมือง ซึ่งก็คือนายทุนพรรคนั่นเอง และการสังกัดพรรคการเมืองในปัจจุบันกลายเป็นความจำเป็นทางการเมือง มากกว่าจะเกิดจากการร่วมกิจกรรมทางการเมือง เพราะมีอุดมการณ์ทางการเมืองร่วมกัน พรรคการเมืองจึงเป็นเสมือนบริษัทใหญ่ที่นักการเมืองต้องแย่งกันมาสมัครเป็นพนักงาน จนท้ายสุดเกิดการผูกขาดตลาดการเมืองด้วยบริษัทยักษ์ใหญ่เพียง 2-3 บริษัท ส่งผลให้พ่อค้ารายเล็กรายน้อยไม่สามารถประกอบธุรกรรมทางการเมืองได้
“มันต้องเลิกการครอบงำ สส.โดยพรรค รัฐธรรมนูญหลายฉบับของเราบังคับ สส. ต้องสังกัดพรรค และมีระเบียบ กฎเกณฑ์ต่างว่า ถ้าสส.ถูกขับออกจากพรรคก็จะถูกขับออกจากสมาชิกภาพด้วย อันนี้มันเป็นปัญหาของการเมืองแบบเก่าของเราที่พรรคคุมสส.ไม่ได้ มีการไปซื้อขายเสียงในห้องน้ำ มันก็เลยมีการแก้ไปอีกแบบทำให้กลายเป็นถ้าเป็นคนที่มีเงินมากๆไปเป็นหัวหน้าพรรคด้วย อำนาจเงินทำให้ สส.กลายเป็นคนที่น่ารังเกียจ และน่าขบขัน ทุกคนพูดแล้วเหมือนหุ่นยนต์หมด เพระทุกเรื่องมันพูดมาจากที่พรรคหมดแล้ว ถ้าอยากเจริญก้าวหน้าต้องพูดตามแนวพรรค มิเช่นนั้นคราวหน้าจะไม่ส่งลง จึงอาจต้องกลับไปสู่มาตรฐานแบบเดิมของไทย หรือมาตรฐานสากลที่ส่วนใหญ่บอกว่า สส.ไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรคก็ไม่เลว”
สูตรที่สาม
แยกบริหาร-นิติบัญญัติ
ผู้นำมาจากการเลือกตั้ง
ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่าสูตรการเมืองใหม่แบบนี้ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ใหม่เอี่ยมถอดด้าม เพราะเป็นสิ่งเมืองไทยใช้กันอยู่แล้ว ทั้งการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานคร เลือกตั้งเทศบาล นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด นายกองค์การบริหารส่วนตำบล เพียงแต่คราวนี้ยกระดับการคัดเลือกขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี
บางคนที่ชอบมองโลกในแง่ร้าย ชอบจับผิดอาจบอกว่า การเสนอการเมืองใหม่ในสูตรนี้ขึ้นมาเพื่อดันประเทศไทยเข้าสู่การปกครองในระบอบประธานาธิบดี ต้องการล้มล้างระบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ซึ่งขอออกตัวมา ณ ที่นี้ก่อนว่า แนวคิดที่กลุ่มผู้เสวนาเสนอออกมาครั้งนี้ไม่ได้มีเจตนา หรือวัตถุประสงค์ไปในแนวทางนั้น เพราะท้ายที่สุดผู้ที่ได้รับการคัดเลือกขึ้นมาในตำแหน่งผู้นำประเทศนั้นต้องเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ และได้รับพระราชทานโปรดเกล้าฯ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
แนวทางนี้เสนอขึ้นเพื่อลดปัญหาว่านายกรัฐมนตรีไม่ต้องมาจากสภาฯ เพื่อให้นายกฯไม่ต้องเป็นเบี้ยล่างให้กับบรรดา สส. ซึ่งจะว่าไปแล้วหลักการนี้เป็นหลักการที่หลายประเทศทั่วโลกใช้กันอยู่
สูตรนี้เสนอว่าให้นายกฯ หรือหัวหน้าฝ่ายบริหารมาจากการเลือกตั้งทั้งหมดทั้งสิ้น คล้ายกับการเลือกตั้งท้องถิ่นที่ใช้กันอยู่แล้วในปัจจุบัน เพียงแต่ที่ต้องขยับมาถึงระดับผู้นำประเทศก็เพื่อให้มีหลักประกันในการบริหาร ประเด็นสำคัญของสูตรนี้มีอยู่ว่า เนื่องจากเมืองไทยมีสภาวิชาชีพ หรือสมาคมวิชาชีพ เอาเฉพาะที่มีกฎหมายรองรับเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ดังนั้น ใครก็ตามที่สมัครเป็นผู้นำประเทศได้รับการรับรองจากสภาวิชาชีพ โดยให้สมาชิกที่มีเป็นจำนวนมากของสมาคมนั้นๆเป็นผู้เลือกตั้งอีกที เมื่อได้แล้วรัฐบาลจะออกค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งให้ ส่วนพรรคการเมือง หรือผู้สมัครอิสระคนอื่น หากต้องการส่งผู้สมัครของตนเองก็สามารถทำได้แต่รัฐบาลจะไม่ออกเงินสนับสนุนให้ จากนั้นจึงค่อยเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งเพื่อให้ผู้สมัครแต่ละคนสามารถแสดงนโยบายต่างๆได้
“ในการหาเสียงรัฐจะจ่ายให้ แต่อย่าไปห่วงว่ารัฐจ่ายเงินให้แล้วเป็นการถลุงเงินภาษี เพราะเอาคนโกงเข้ามาจะโดนกินไปกี่แสนล้าน มันเปรียบเทียบไม่ได้เลย แต่คัดเลือกก่อนทำให้มั่นใจว่าเราได้คนที่ดีจริง ให้ผ่านกระบวนการสรรหา”
เมื่อได้รับเลือกแล้วทางผู้นำประเทศคนใหม่จะเป็นคนเสนอรายชื่อรัฐมนตรีเพื่อดูแลงานในกระทรวงต่างๆ แต่บุคคลที่ถูกเสนอชื่อจะต้องผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติ และความเหมาะสมจากฝ่ายนิติบัญญัติก่อน
ไม่เพียงเท่านั้น สูตรนี้ยังลงรายละเอียดไปถึงการคัดเลือกผู้แทนราษฎรเพื่อมาทำหน้าที่ในฝ่ายนิติบัญญัติด้วย เช่น หากต้องการสส. ที่ดูดี มีความรู้ มีคุณธรรม ก็อาจต้องกำหนดคุณสมบัติของผู้สมัครให้เข้มขึ้นอีก หรือนำแนวคิดเดียวกับการคัดเลือกฝ่ายนบริหารเข้ามาใช้ ด้วยการให้ผู้สมัคร สส. ต้องผ่านสภาวิชาชีพรับรองก่อน ถ้าได้รับการรับรองแล้วรัฐบาลจะเป็นผู้ออกเงินค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งให้ ขณะที่คนอื่น หรือผู้สมัครจากพรรคการเมืองจะมาสมัครก็ได้แต่ต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเอง
“มันเป็นหลักการของรูปแบบการแบ่งแยกอำนาจที่เขาทำอยู่แล้ว แต่บ้านเรากลัวระบบประธานาธิบดี แล้วไปติดชื่อตรงนี้ก็เลยกลัว ซึ่งจริงๆ การเมืองท้องถิ่นเราเอามาใช้หมดแล้ว และอำนาจของนายกฯ เราเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญให้ชัดเจนว่ามีหน้าที่เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารรับสนองพระบรมราชโองการ มันจะไม่มีส่วนไหนเลยที่จะไปเกี่ยวข้องกับการทำลาย หรือล้มล้างระบอบพระมหากษัตริย์ เพราะถือเป็นองค์พระประมุข ซึ่งต้องเขียนให้ชัดเจน”
ในวงเสวนายังเสนอเพิ่มเติมด้วยว่า ไม่ใช่เฉพาะรัฐมนตรีที่ได้รับการเสนอชื่อเข้ามารับตำแหน่งเท่านั้นที่ต้องถูกตรวจสอบ แต่ข้าราชการการเมืองระดับสูง เช่น ปลัดกระทรวง อธิบดี หากได้รับการเสนอชื่อต้องผ่านการไต่สวนสาธารณะของสภาผู้แทนเสียก่อน และที่สำคัญในการอภิปรายไม่ไว้วางใจทั้งในระดับสภาผู้แทน หรือคณะกรรมาธิการแต่ละคณะต้องมีอัยการอิสระเข้ามาคอยฟังการไต่สวน หากฟังว่ามีมูลว่าทุจริตสามารถสืบสวน และส่งต่อเพื่อฟ้องศาลได้เลยทันที
สูตรที่สี่
เลือกแบบจังหวัดสกัดซื้อเสียง
สำหรับสูตรนี้ยังเป็นสูตรการเลือกตั้งแบบที่เป็นกันอยู่ทุกวันนี้ เพียงแต่มีการเปลี่ยนการเลือกตั้งใหม่จากเดิมที่เป็นเลือกในระดับเขต แต่ละเขตมีผู้แทนได้ 1-2-3 คน แล้วแต่จำนวนประชากร มาเป็นการเลือกในระดับจังหวัด เหมือนกับการเลือกตั้งของกรุงเทพฯ เพื่อให้โอกาสการซื้อเสียงยากขึ้น เนื่องจากต้องซื้อทั้งจังหวัด ไม่ใช่แค่ 2-3 อำเภอเหมือนที่ผ่านมา เสร็จแล้วจัดอันดับ ใครได้คะแนนเสียงสูงสุดของจังหวัดได้รับเลือกเป็นผู้แทนราษฎร
อย่างไรก็ตาม สูตรนี้ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่ว่า แม้จะได้รับเลือกตั้งแต่จะไม่มีสิทธิ์ขึ้นเป็นรัฐมนตรี ซึ่งข้อจำกัดทั้ง 2 ประการนี้จะทำให้สิ่งที่จะมาจูงใจการซื้อเสียงน้อยลง เพราะลงทุนมากแต่ไม่สามารถเป็นรัฐมนตรีได้ เพราะฝ่ายบริหารจะเป็นผู้จัดตั้งกันเอง ขณะที่ฝ่ายนิติบัญญัติมีหน้าที่ออกกฎหมายเพียงอย่างเดียว
“เราต้องตัดโอกาสก่อนด้วยการดูที่ระบบของมัน ดังจะเห็นได้จากการเลือกสมาชิกวุฒิสภากรุงเทพฯ ทำไมรสนา (โตสิตระกูล) ได้อันดับ 1 เพราะโอกาสซื้อเพื่อให้ชนะมันซื้อยากขึ้น เพราะเขตที่ใหญ่ทำให้ซื้อยากขึ้น แต่นี่เอาทั้งจังหวัดเลย”
ปรับจริยธรรม คุณธรรม
นักการเมืองศรีธนญชัย
อย่างไรก็ตาม เป็นที่เชื่อกันในวงเสวนาว่าไม่ว่าการออกแบบการเมืองใหม่จะสวยหรู หรือเป็นที่น่าชื่นชมว่าสามารถสกัดกั้นวงจรอุบาทว์ไม่ให้ฟื้นคืนชีพได้ดีเพียงไร แต่หากนำมาใช้กันจริงๆเมื่อไร นักการเมืองไทยก็สามารถดิ้น และหานวัตกรรมการโกง ออกมาได้อย่างแนบเนียนทุกครั้งทุกครา ดังเช่น กรณีรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่แม้ว่าหลายคนจะบอกว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุดเท่าที่เมืองไทยเคยมีมา แต่ในที่สุดนักการเมืองไทยก็สามารถหาช่องทุจริตจนได้
เรื่องนี้ มนตรีมองว่า จริงแล้วรัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่ในปัจจุบันก็ดีอยู่แล้ว เพราะเสียงของประชาชนยังเป็นวิธีดีที่สุดเนื่องจากเป็นวิธีที่ประชาชนมีส่วนร่วม และเป็นธรรมทั่วถึงกันเพียงแต่ที่ผ่านมาที่การเมืองบ้านเรามีปัญหาเพราะระบบในการบังคับใช้ (Enforcement) ของกฎหมายยังไม่เกิดขึ้นอย่างเต็มที่
“ผมนึกภาพอื่นไม่ออก การเลือกตั้งโดยไม่มีพรรคมันก็ไปจับพรรคกันอยู่ดี โดยเฉพาะพวกที่ซิกแซ็ก เรามักจะเห็นว่าหากต้องการหลักฐานเรื่องค่าจ้างก็ไปทำเป็นจ่ายค่ารถ ค่าน้ำมัน กันไม่ให้ถือหุ้นก็ไปถือผ่านลูก คือมันคิดได้ตลอด พอเรากำหนดระบบว่าคุณห้ามอยู่กันเป็นพรรค ดูอย่างสมาชิกวุฒิสภาที่ผ่านมาที่ไม่ให้สังกัดพรรคก็ไปตั้งเป็นเมียกับลูกของคนที่อยู่ในพรรค ฉะนั้น อย่าไปกำหนดกฏเลย”
มนตรี บอกว่า ผมมองว่าการเมืองใหม่ที่แท้จริงเป็นเรื่องในเชิงจิตใจ คือ การที่ทุกคนต้องเข้าใจว่าประชาธิปไตย ไม่ใช่แค่ที่มาซึ่งการมารับใช้ประเทศชาติในตำแหน่งที่มีอำนาจสูงสุด แต่เป็นเรื่องของการควบคุมกำกับ เพื่อให้การใช้อำนาจนั้นอยู่ในทิศทางที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นเวลามีความผิดแล้วนักการเมืองกระทำผิดมันไม่ใช่เรื่องที่ว่าผมมาจากการเลือกตั้ง มันต้องเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องยอมรับว่า มาจากการเลือกตั้งแล้วถ้าทำผิดก็จะต้องรับ และควรลงจากอำนาจ
“ ถ้าทุกคนมีค่านิยมตรงนี้ที่ชัดเจนมากขึ้น ผมเชื่อว่านั่นคือความสว่าง นั่นคือการเมืองใหม่” แหล่งข้อมูล
สูตรหนึ่ง
ลดผู้แทนแบ่งเขต
เพิ่มผู้แทนกลุ่มอาชีพ
สูตรนี้จะว่าไปแล้วไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด เพราะการเมืองภาคประชาชนเป็นเรื่องพูดกันมานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นประชาธิปไตยในชุมชน ประชาธิปไตยในท้องถิ่น เพียงแต่ภาพเริ่มเห็นชัดเจนมากขึ้น-มากขึ้น จากการเข้าร่วมชุมนุมของประชาชนที่เวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ดร.เอนก เสนอว่าสูตรนี้แบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก เป็นเรื่องของเลือกตั้งที่ประชาชนมีส่วนร่วมเช่นเดิม เพียงแต่ลดจำนวนผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตพื้นที่ หรือ Territorial Representative ลง แล้วให้เพิ่มผู้แทนที่มาจากสายอาชีพ หรือ Functional Representative หรือ Occupational Representative ขึ้นมา เช่น จากเดิมผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้งจากแบ่งเขตพื้นที่อาจจะมี 400 คน ให้เหลือเพียง 200 คน ที่เหลือให้คัดเลือกจากตัวแทนกลุ่มอาชีพต่างๆ เช่น แพทย์ พยาบาล สถาปนิก ชาวนา หรือกรรมกร เป็นต้น
“สัดส่วนเป็นแค่ตุ๊กตา แต่คิดว่ามันน่าจะเท่าๆกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสส.แบ่งเขต ส่วนปาร์ตี้ลิสต์ถ้าอยากจะมีก็ให้เป็นครึ่งหนึ่งของ สส. ทั้ง 2 ประเภทนั้น
ที่ผมคิดอย่างนี้เพราะอยากแหกกรอบความคิดในปัจจุบันที่เป็นการ Represent โดยใช้พื้นที่ เช่น เขตละ 3 คน ถ้าเราเห็นเนื้อหาในการคุยในสภาก็ไม่มีเรื่องอะไร เพราะมันไม่มีตัวแทนอาชีพที่หลากหลายคอยเสนอ คอยปกป้องผลประโยชน์ของแต่ละฟังก์ชั่น ดังนั้นแบบนี้ก็ไม่เลว”
ในส่วนแรกนี้ เกียรติพงศ์ ให้ความเห็นเสริมว่า สิ่งสำคัญของสูตรนี้คือ จะต้องมีกฎเกณฑ์ควบคุมอีกชั้นหนึ่งว่า การจะคัดเลือกสมาคมวิชาชีพนั้นมีวิธีการคัดเลือกอย่างไร มิเช่นนั้นทุกคนก็สามารถตั้งเป็นสมาคมวิชาชีพได้หมด จากนั้นก็ใช้ความเป็นพวกเลือกคนของตนเองเข้ามา ดังนั้น จึงต้องขึ้นทะเบียนก่อนว่าอาชีพไหนต้องถูกคัดเข้ามาก่อน และต้องมีขั้นตอนในการเลือก เช่น อาจใช้วิธีพิจารณาจากตัวเลขการเสียภาษี สมาคมไหนเสียภาษีมากที่สุดตั้งแต่ 1-100 เป็นต้นไปมีสิทธิ์เสนอคนของตนเองขึ้นมาโดยแต่ละสมาคมมีสิทธิ์ออกเสียงเพียงเสียงเดียวเท่านั้น ซึ่งจะทำให้เป็นประชาธิปไตย
ปรีดา ให้ทัศนะเพิ่มอีกว่า การเลือกแบบทางตรง (การเลือกตั้งแบบแบ่งเขต) เท่ากับเป็นการยอมรับสิทธิถึงความเป็นเจ้าของประเทศ เพื่อทำให้เกิดการมีส่วนร่วม อันนี้เราต้องให้เป็นหลัก ส่วนทางสายอาชีพที่เรียกว่าทางอ้อม มันดีที่ว่าจะเป็นการดันคนที่มีความรู้ทางสายอาชีพที่เป็นพลังทางด้านเศรษฐกิจจริงๆเข้ามา ถ้าได้พวกนี้เข้ามาจำนวนหนึ่งก็จะมาสร้างความเข้าใจในสภาผู้แทนราษฎร ไม่ว่าเรื่องสังคมเฉพาะอย่างในกรณีมีเอ็นจีโอเข้ามา มันจะมีความรู้ที่แน่นอนเฉพาะกลุ่ม เมื่อประสานความรู้จากคนที่ได้มาจากทางตรง ซึ่งจะเข้าใจปัญหาของชาวบ้าน ปัญหาสังคมท้องถิ่นได้ดีกว่า
“มันเป็นกระบวนการสมบูรณ์แบบ ถ้าคุณใช้ทางตรงอย่างเดียวเข้ามาก็เสียคือจะไม่มีองค์ความรู้เลย ผมมองว่าทางอ้อมจะช่วยให้มีองค์ความรู้มากขึ้นในสภา”
ส่วนที่สอง ด้านการตรวจสอบ ต้องให้ผู้แทนประชาชนที่มาจากการเลือกตั้งสามารถถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวด เข้มข้นทั้งจากประชาชน และองค์กรอิสระที่ตั้งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น คณะกรรมการการเลือกตั้ง ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม การเมืองใหม่สูตรนี้ใช่ว่าจะทำให้การเมืองบ้านเราสะอาด บริสุทธิ์ ยุติธรรม ใสสะอาด ดังที่เราวาดหวัง เพราะหลายคนในวงเสวนาเชื่อว่า อีกไม่นานก็จะมีการซื้อเสียงในสภาเกิดขึ้นอีก เพียงแต่สูตรนี้มีความหลากหลายในกลุ่มอาชีพมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้มีการคานอำนาจ และถ่วงดุลอำนาจกันได้ดีขึ้น
สูตรที่สอง
นักการเมืองเลิกสังกัดพรรค
การที่ผู้สมัคร สส. ต้องสังกัดพรรคเป็นการลดความเป็นอิสระทางด้านความคิดเห็นทางการเมืองของ สส. แต่ไปเพิ่มดำนาจการต่อรองให้กับผู้มีอำนาจในพรรคการเมือง ซึ่งก็คือนายทุนพรรคนั่นเอง และการสังกัดพรรคการเมืองในปัจจุบันกลายเป็นความจำเป็นทางการเมือง มากกว่าจะเกิดจากการร่วมกิจกรรมทางการเมือง เพราะมีอุดมการณ์ทางการเมืองร่วมกัน พรรคการเมืองจึงเป็นเสมือนบริษัทใหญ่ที่นักการเมืองต้องแย่งกันมาสมัครเป็นพนักงาน จนท้ายสุดเกิดการผูกขาดตลาดการเมืองด้วยบริษัทยักษ์ใหญ่เพียง 2-3 บริษัท ส่งผลให้พ่อค้ารายเล็กรายน้อยไม่สามารถประกอบธุรกรรมทางการเมืองได้
“มันต้องเลิกการครอบงำ สส.โดยพรรค รัฐธรรมนูญหลายฉบับของเราบังคับ สส. ต้องสังกัดพรรค และมีระเบียบ กฎเกณฑ์ต่างว่า ถ้าสส.ถูกขับออกจากพรรคก็จะถูกขับออกจากสมาชิกภาพด้วย อันนี้มันเป็นปัญหาของการเมืองแบบเก่าของเราที่พรรคคุมสส.ไม่ได้ มีการไปซื้อขายเสียงในห้องน้ำ มันก็เลยมีการแก้ไปอีกแบบทำให้กลายเป็นถ้าเป็นคนที่มีเงินมากๆไปเป็นหัวหน้าพรรคด้วย อำนาจเงินทำให้ สส.กลายเป็นคนที่น่ารังเกียจ และน่าขบขัน ทุกคนพูดแล้วเหมือนหุ่นยนต์หมด เพระทุกเรื่องมันพูดมาจากที่พรรคหมดแล้ว ถ้าอยากเจริญก้าวหน้าต้องพูดตามแนวพรรค มิเช่นนั้นคราวหน้าจะไม่ส่งลง จึงอาจต้องกลับไปสู่มาตรฐานแบบเดิมของไทย หรือมาตรฐานสากลที่ส่วนใหญ่บอกว่า สส.ไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรคก็ไม่เลว”
สูตรที่สาม
แยกบริหาร-นิติบัญญัติ
ผู้นำมาจากการเลือกตั้ง
ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่าสูตรการเมืองใหม่แบบนี้ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ใหม่เอี่ยมถอดด้าม เพราะเป็นสิ่งเมืองไทยใช้กันอยู่แล้ว ทั้งการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานคร เลือกตั้งเทศบาล นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด นายกองค์การบริหารส่วนตำบล เพียงแต่คราวนี้ยกระดับการคัดเลือกขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี
บางคนที่ชอบมองโลกในแง่ร้าย ชอบจับผิดอาจบอกว่า การเสนอการเมืองใหม่ในสูตรนี้ขึ้นมาเพื่อดันประเทศไทยเข้าสู่การปกครองในระบอบประธานาธิบดี ต้องการล้มล้างระบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ซึ่งขอออกตัวมา ณ ที่นี้ก่อนว่า แนวคิดที่กลุ่มผู้เสวนาเสนอออกมาครั้งนี้ไม่ได้มีเจตนา หรือวัตถุประสงค์ไปในแนวทางนั้น เพราะท้ายที่สุดผู้ที่ได้รับการคัดเลือกขึ้นมาในตำแหน่งผู้นำประเทศนั้นต้องเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ และได้รับพระราชทานโปรดเกล้าฯ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
แนวทางนี้เสนอขึ้นเพื่อลดปัญหาว่านายกรัฐมนตรีไม่ต้องมาจากสภาฯ เพื่อให้นายกฯไม่ต้องเป็นเบี้ยล่างให้กับบรรดา สส. ซึ่งจะว่าไปแล้วหลักการนี้เป็นหลักการที่หลายประเทศทั่วโลกใช้กันอยู่
สูตรนี้เสนอว่าให้นายกฯ หรือหัวหน้าฝ่ายบริหารมาจากการเลือกตั้งทั้งหมดทั้งสิ้น คล้ายกับการเลือกตั้งท้องถิ่นที่ใช้กันอยู่แล้วในปัจจุบัน เพียงแต่ที่ต้องขยับมาถึงระดับผู้นำประเทศก็เพื่อให้มีหลักประกันในการบริหาร ประเด็นสำคัญของสูตรนี้มีอยู่ว่า เนื่องจากเมืองไทยมีสภาวิชาชีพ หรือสมาคมวิชาชีพ เอาเฉพาะที่มีกฎหมายรองรับเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ดังนั้น ใครก็ตามที่สมัครเป็นผู้นำประเทศได้รับการรับรองจากสภาวิชาชีพ โดยให้สมาชิกที่มีเป็นจำนวนมากของสมาคมนั้นๆเป็นผู้เลือกตั้งอีกที เมื่อได้แล้วรัฐบาลจะออกค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งให้ ส่วนพรรคการเมือง หรือผู้สมัครอิสระคนอื่น หากต้องการส่งผู้สมัครของตนเองก็สามารถทำได้แต่รัฐบาลจะไม่ออกเงินสนับสนุนให้ จากนั้นจึงค่อยเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งเพื่อให้ผู้สมัครแต่ละคนสามารถแสดงนโยบายต่างๆได้
“ในการหาเสียงรัฐจะจ่ายให้ แต่อย่าไปห่วงว่ารัฐจ่ายเงินให้แล้วเป็นการถลุงเงินภาษี เพราะเอาคนโกงเข้ามาจะโดนกินไปกี่แสนล้าน มันเปรียบเทียบไม่ได้เลย แต่คัดเลือกก่อนทำให้มั่นใจว่าเราได้คนที่ดีจริง ให้ผ่านกระบวนการสรรหา”
เมื่อได้รับเลือกแล้วทางผู้นำประเทศคนใหม่จะเป็นคนเสนอรายชื่อรัฐมนตรีเพื่อดูแลงานในกระทรวงต่างๆ แต่บุคคลที่ถูกเสนอชื่อจะต้องผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติ และความเหมาะสมจากฝ่ายนิติบัญญัติก่อน
ไม่เพียงเท่านั้น สูตรนี้ยังลงรายละเอียดไปถึงการคัดเลือกผู้แทนราษฎรเพื่อมาทำหน้าที่ในฝ่ายนิติบัญญัติด้วย เช่น หากต้องการสส. ที่ดูดี มีความรู้ มีคุณธรรม ก็อาจต้องกำหนดคุณสมบัติของผู้สมัครให้เข้มขึ้นอีก หรือนำแนวคิดเดียวกับการคัดเลือกฝ่ายนบริหารเข้ามาใช้ ด้วยการให้ผู้สมัคร สส. ต้องผ่านสภาวิชาชีพรับรองก่อน ถ้าได้รับการรับรองแล้วรัฐบาลจะเป็นผู้ออกเงินค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งให้ ขณะที่คนอื่น หรือผู้สมัครจากพรรคการเมืองจะมาสมัครก็ได้แต่ต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเอง
“มันเป็นหลักการของรูปแบบการแบ่งแยกอำนาจที่เขาทำอยู่แล้ว แต่บ้านเรากลัวระบบประธานาธิบดี แล้วไปติดชื่อตรงนี้ก็เลยกลัว ซึ่งจริงๆ การเมืองท้องถิ่นเราเอามาใช้หมดแล้ว และอำนาจของนายกฯ เราเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญให้ชัดเจนว่ามีหน้าที่เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารรับสนองพระบรมราชโองการ มันจะไม่มีส่วนไหนเลยที่จะไปเกี่ยวข้องกับการทำลาย หรือล้มล้างระบอบพระมหากษัตริย์ เพราะถือเป็นองค์พระประมุข ซึ่งต้องเขียนให้ชัดเจน”
ในวงเสวนายังเสนอเพิ่มเติมด้วยว่า ไม่ใช่เฉพาะรัฐมนตรีที่ได้รับการเสนอชื่อเข้ามารับตำแหน่งเท่านั้นที่ต้องถูกตรวจสอบ แต่ข้าราชการการเมืองระดับสูง เช่น ปลัดกระทรวง อธิบดี หากได้รับการเสนอชื่อต้องผ่านการไต่สวนสาธารณะของสภาผู้แทนเสียก่อน และที่สำคัญในการอภิปรายไม่ไว้วางใจทั้งในระดับสภาผู้แทน หรือคณะกรรมาธิการแต่ละคณะต้องมีอัยการอิสระเข้ามาคอยฟังการไต่สวน หากฟังว่ามีมูลว่าทุจริตสามารถสืบสวน และส่งต่อเพื่อฟ้องศาลได้เลยทันที
สูตรที่สี่
เลือกแบบจังหวัดสกัดซื้อเสียง
สำหรับสูตรนี้ยังเป็นสูตรการเลือกตั้งแบบที่เป็นกันอยู่ทุกวันนี้ เพียงแต่มีการเปลี่ยนการเลือกตั้งใหม่จากเดิมที่เป็นเลือกในระดับเขต แต่ละเขตมีผู้แทนได้ 1-2-3 คน แล้วแต่จำนวนประชากร มาเป็นการเลือกในระดับจังหวัด เหมือนกับการเลือกตั้งของกรุงเทพฯ เพื่อให้โอกาสการซื้อเสียงยากขึ้น เนื่องจากต้องซื้อทั้งจังหวัด ไม่ใช่แค่ 2-3 อำเภอเหมือนที่ผ่านมา เสร็จแล้วจัดอันดับ ใครได้คะแนนเสียงสูงสุดของจังหวัดได้รับเลือกเป็นผู้แทนราษฎร
อย่างไรก็ตาม สูตรนี้ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่ว่า แม้จะได้รับเลือกตั้งแต่จะไม่มีสิทธิ์ขึ้นเป็นรัฐมนตรี ซึ่งข้อจำกัดทั้ง 2 ประการนี้จะทำให้สิ่งที่จะมาจูงใจการซื้อเสียงน้อยลง เพราะลงทุนมากแต่ไม่สามารถเป็นรัฐมนตรีได้ เพราะฝ่ายบริหารจะเป็นผู้จัดตั้งกันเอง ขณะที่ฝ่ายนิติบัญญัติมีหน้าที่ออกกฎหมายเพียงอย่างเดียว
“เราต้องตัดโอกาสก่อนด้วยการดูที่ระบบของมัน ดังจะเห็นได้จากการเลือกสมาชิกวุฒิสภากรุงเทพฯ ทำไมรสนา (โตสิตระกูล) ได้อันดับ 1 เพราะโอกาสซื้อเพื่อให้ชนะมันซื้อยากขึ้น เพราะเขตที่ใหญ่ทำให้ซื้อยากขึ้น แต่นี่เอาทั้งจังหวัดเลย”
ปรับจริยธรรม คุณธรรม
นักการเมืองศรีธนญชัย
อย่างไรก็ตาม เป็นที่เชื่อกันในวงเสวนาว่าไม่ว่าการออกแบบการเมืองใหม่จะสวยหรู หรือเป็นที่น่าชื่นชมว่าสามารถสกัดกั้นวงจรอุบาทว์ไม่ให้ฟื้นคืนชีพได้ดีเพียงไร แต่หากนำมาใช้กันจริงๆเมื่อไร นักการเมืองไทยก็สามารถดิ้น และหานวัตกรรมการโกง ออกมาได้อย่างแนบเนียนทุกครั้งทุกครา ดังเช่น กรณีรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่แม้ว่าหลายคนจะบอกว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุดเท่าที่เมืองไทยเคยมีมา แต่ในที่สุดนักการเมืองไทยก็สามารถหาช่องทุจริตจนได้
เรื่องนี้ มนตรีมองว่า จริงแล้วรัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่ในปัจจุบันก็ดีอยู่แล้ว เพราะเสียงของประชาชนยังเป็นวิธีดีที่สุดเนื่องจากเป็นวิธีที่ประชาชนมีส่วนร่วม และเป็นธรรมทั่วถึงกันเพียงแต่ที่ผ่านมาที่การเมืองบ้านเรามีปัญหาเพราะระบบในการบังคับใช้ (Enforcement) ของกฎหมายยังไม่เกิดขึ้นอย่างเต็มที่
“ผมนึกภาพอื่นไม่ออก การเลือกตั้งโดยไม่มีพรรคมันก็ไปจับพรรคกันอยู่ดี โดยเฉพาะพวกที่ซิกแซ็ก เรามักจะเห็นว่าหากต้องการหลักฐานเรื่องค่าจ้างก็ไปทำเป็นจ่ายค่ารถ ค่าน้ำมัน กันไม่ให้ถือหุ้นก็ไปถือผ่านลูก คือมันคิดได้ตลอด พอเรากำหนดระบบว่าคุณห้ามอยู่กันเป็นพรรค ดูอย่างสมาชิกวุฒิสภาที่ผ่านมาที่ไม่ให้สังกัดพรรคก็ไปตั้งเป็นเมียกับลูกของคนที่อยู่ในพรรค ฉะนั้น อย่าไปกำหนดกฏเลย”
มนตรี บอกว่า ผมมองว่าการเมืองใหม่ที่แท้จริงเป็นเรื่องในเชิงจิตใจ คือ การที่ทุกคนต้องเข้าใจว่าประชาธิปไตย ไม่ใช่แค่ที่มาซึ่งการมารับใช้ประเทศชาติในตำแหน่งที่มีอำนาจสูงสุด แต่เป็นเรื่องของการควบคุมกำกับ เพื่อให้การใช้อำนาจนั้นอยู่ในทิศทางที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นเวลามีความผิดแล้วนักการเมืองกระทำผิดมันไม่ใช่เรื่องที่ว่าผมมาจากการเลือกตั้ง มันต้องเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องยอมรับว่า มาจากการเลือกตั้งแล้วถ้าทำผิดก็จะต้องรับ และควรลงจากอำนาจ
“ ถ้าทุกคนมีค่านิยมตรงนี้ที่ชัดเจนมากขึ้น ผมเชื่อว่านั่นคือความสว่าง นั่นคือการเมืองใหม่” แหล่งข้อมูล
Subscribe to:
Posts (Atom)