Sunday, October 26, 2008

วัฒนธรรมการอ่าน

คนไทยอ่านหนังสือปีละ 7 บรรทัด !!
อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ เคยเขียนถึงเรื่องการอ่านน้อยของคนไทยไว้ในหนังสือศิลปวัฒนธรรมว่า คนไทยมีวัฒนธรรมในการดูและฟังมากกว่าวัฒนธรรมการอ่าน จึงทำให้คนไทยนิยมบอกเล่าเรื่องราวต่อกันผ่านการแสดง ทั้งการละเล่นพื้นบ้าน ลิเก ลำตัด ละครต่างๆ รวมทั้งโขน แต่ไม่ได้บอกกล่าวเรื่องราวผ่านทางตัวหนังสือ
นอกเหนือจากเหตุผลทางด้านวัฒนธรรมของคนไทยตามที่ อ.นิธิอธิบายไว้แล้ว ยังมีสาเหตุอื่นอีก ที่เข้ามามีส่วนต่อวัฒนธรรมการอ่านของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง กระแสนิยม และล่าสุด คือเทคโนโลยีสมัยใหม่ อ่านรายละเอียด

ค่าย Young Writers

ค่าย "ยัง ไรเตอร์"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ที่วิทยาลัยนวัตกรรมอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์พัทยา จ.ชลบุรี คณะผู้บริหารจากบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) และ เครือซีเมนต์ไทย (เอสซีจี) และเยาวชนจำนวน 36 คน ได้เข้าร่วมในพิธีปิดโครงการจุดประกายปัญญา ปี 4 "ยัง ไรเตอร์ แคมป์" ซึ่งเป็นค่ายอบรมเยาวชนด้านการเขียนสารคดี เรื่องสั้น และสกู๊ปข่าว ระหว่างวันที่ 21-25 ตุลาคม พร้อมทั้งร่วมในพิธีมอบรางวัลให้กับผู้ชนะการเขียนสารคดี เรื่องสั้น และสกู๊ปข่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ชนะเลิศงานเขียนประเภทสารคดี ได้แก่ น.ส.ศศิวรรณ โมกขะเสน อายุ 17 ปี นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา จากเรื่อง "กลิ่นกะปิ รากไทร และไนท์ไลฟ์ที่พัทยา" ได้รับโน๊ตบุ๊ค 1 เครื่อง พร้อมเงินรางวัล 10,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ น.ส.พิชญา โชนะโต อายุ 17 ปี นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา จากเรื่อง "ฉันหลงทางในโลก(พัทยา)" ได้รับเงินรางวัล 10,000 บาท และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ นายเสฎฐวุฒิ อุดาการ อายุ 16 ปี นักเรียนชั้น ม.4 โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย จากเรื่อง "เทพนิยายราตรีในควันบุหรี่" ได้รับเงินรางวัล 8,000 บาท
ผู้ชนะเลิศงานเขียนประเภทเรื่องสั้น ได้แก่ น.ส.พิชญา โชนะโต จากเรื่อง "ส่องแสงไม่ส่งเสียง" ได้รับโน๊ตบุ๊ค 1 เครื่อง และเงินรางวัล 10,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ นายเสฎฐวุฒิ อุดาการ จากเรื่อง "โปสการ์ดจากเพื่อนถึงเมฆก้อนที่ไกลที่สุด" ได้รับเงินรางวัล 10,000 บาท และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ น.ส.มณฑิตา วงษ์ชีพ อายุ 22 ปี นักศึกษาปี 4 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จากเรื่อง "เด็กหญิงน้ำ นามสมมติ" ได้รับเงินรางวัล 8,000 บาท

ผู้ชนะเลิศงานเขียนประเภทสกู๊ปข่าวมี 2 คน ได้แก่ นายสันติพล ยวงใย อายุ 21 ปี นักศึกษาปี 3 มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา และนายนพพล อาชามาส อายุ 22 ปี บัณฑิตคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยได้รับโน๊ตบุ๊คคนละ 1 เครื่อง และเงินรางวัลคนละ 10,000 บาท

นอกจากนี้ยังมีผู้ได้รับรางวัล "ป๊อปปูล่าร์ โหวต" คือ น.ส.หมี่สะ แชเมิงกู่ อายุ 16 ปี นักเรียนชั้น ม.3 โรงเรียนสันติคีรีวิทยาคม ได้รับเงินรางวัล 5,000 บาท อ่านรายละเอียด

NEXT-GENERATION LIBRARY CATALOGS

NEXT-GENERATION LIBRARY CATALOGS
ILS Discovery Interfaces , Next Generation Catalog
The bibliographic database
Library Automation Trend

Friday, October 24, 2008

ยกเครื่องการเงินโลก

อียูจี้เอเชียร่วมยกเครื่องการเงินโลก
เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม สำนักข่าวเอพีรายงานจากกรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน สถานที่จัดการประชุมสุดยอดเอเชียยุโรป (อาเซม) ซึ่งจะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 24 ตุลาคม ว่า นายโจเซ บาร์โรโซ ประธานคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป (อียู) แถลงต่อสื่อมวลชนเรียกร้องให้เอเชียเข้าร่วมในการดำเนินความร่วมมือระดับโลก เพื่อยกเครื่องระบบการเงินโลกทั้งระบบใหม่หมด ซึ่งเชื่อว่าเป็นหนทางเดียวที่จะบรรเทาวิกฤตการเงินโลกอย่างที่ทุกประเทศกำลังเผชิญอยู่ และป้องกันไม่ให้วิกฤตทำนองเดียวกันนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต โดยนายบาร์โรโซชี้ว่า วิกฤตหนนี้ถือว่าเลวร้ายที่สุดในรอบ 70 ปี ทำให้จำเป็นต้องมีการปฏิรูปครั้งใหญ่ทั้งระบบ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือ ประสานงานระหว่างประเทศทุกประเทศทั่วโลกในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และต้องการให้เอเชียทั้งภูมิภาคเข้าร่วมด้วย
"เหตุผลนั้นเข้าใจได้ง่ายมาก เราจะว่ายน้ำไปด้วยกันหรือจะจมลงไปพร้อมๆ กัน ก็ต้องเลือกเอา" นายบาร์โรโซย้ำ ทั้งนี้ ประธานกรรมาธิการอียูซึ่งเคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโปรตุเกสมาก่อนหน้านี้ ไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับข้อเสนอของอียู แต่ระบุว่า หนทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในเวลานี้จะต้องอยู่บนพื้นฐานของหลักการแห่งความโปร่งใส ความรับผิดชอบ การกำกับดูแลนอกอาณาเขตประเทศ และหลักการแห่งธรรมาภิบาลในระดับโลก โดยยอมรับว่า ประเด็นวิกฤตเศรษฐกิจถือเป็นเรื่องหลักที่จะครอบงำการประชุมอาเซมครั้งนี้ตลอดทั้ง 2 วัน
นายบาร์โรโซเป็นหนึ่งในผู้นำหลายประเทศในยุโรปที่ทะยอยเดินทางเข้ากรุงปักกิ่งเพื่อการประชุมสุดยอดอาเซม รวมทั้ง นางแองเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี นิโกลาส์ ซาร์โกซี่ ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ที่จะเดินทางถึงก่อนพิธีเปิดการประชุมในวันที่ 24 ตุลาคมเล็กน้อย พร้อมทั้ง นายบัน คี มูน เลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ในขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของหลายประเทศเดินทางมาถึงแล้วรวมทั้งนายจอห์น แมคกินเนส รัฐมนตรีการค้าและพาณิชย์ของไอร์แลนด์ ที่แสดงความคาดหวังว่าการประชุมครั้งนี้น่าจะมีทางแก้วิกฤตโดยรวม เพื่อแก้ปัญหาวิกฤตที่โลกกำลังเผชิญอยู่


การประชุมครั้งนี้มีขึ้นในขณะที่สภาวะวิกฤตทั่วโลกเริ่มส่อเค้ารุนแรงมากขึ้นตามลำดับ หลังจากวิกฤตการณ์ทางการเงินในสหรัฐอเมริกาลุกลามไปยังประเทศอื่นๆ ทั่วโลก และส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงในหลายประเทศทั่วโลก ทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งหลายและก่อให้เกิดวิกฤตตามมาในอีกหลายประเทศรวมทั้งในเอเชีย ซึ่งเดิมเชื่อกันว่าจะไม่ได้รับผลกระทบรุนแรงมากนัก แต่กลับเผชิญความยุ่งยากมากขึ้นเรื่อยๆ ในการรับมือกับวิกฤตหนนี้ จนเป็นเหตุให้เกาหลีใต้ต้องประกาศแผนใช้เงินสูงถึง 130,000 ล้านดอลลาร์ สร้างเสถียรภาพให้กับตลาดเงิน ขณะที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจจีนลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 5 ปี ดัชนีหุ้นนิกเกอิของญี่ปุ่นผันผวนอย่างหนัก และทำสถิติลดลงในวันเดียวมากที่สุดกว่า 11 เปอร์เซ็นต์ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สิงคโปร์ยอมรับว่าเศรษฐกิจตกอยู่ในภาวะถดถอยแล้ว นายมันโมหัน สิงห์ นายกรัฐมนตรีอินเดีย ยอมรับระหว่างการแถลงข่าวที่ญี่ปุ่นก่อนหน้าเดินทางถึงปักกิ่งว่า อินเดียจะเผชิญกับภาวะชะลอตัวครั้งใหญ่ ในขณะที่ เศรษฐกิจของปากีสถานกำลังตกอยู่ในภาวะใกล้ล้มละลายจนต้องร้องขอความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) แล้ว

ถกวันแรกข้อเสนอปินส์ตั้งกองทุน

การประชุมอาเซมที่มีสมาชิกรวมทั้งสิ้น 45 ประเทศ จะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการด้วยการหารือระหว่างการรับประทานอาหารเช้าของผู้นำ 10 ชาติอาเซียนกับจีน ,ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ที่อาจมีการหารือถึงข้อเสนอของฟิลิปปินส์ ให้จัดตั้งกองทุนเงินทุนสำรองเพื่อให้ความช่วยเหลือประเทศที่เกิดวิกฤต ก่อนที่จะมีพิธีเปิดการประชุมโดยประธานาธิบดีหู จิ่น เทา ของจีน การประชุมครั้งนี้ถือเป็นการอุ่นเครื่องครั้งสำคัญก่อนที่หลายประเทศจะเดินทางเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศ จี 20 ตามคำเชิญชองประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช แห่งสหรัฐอเมริกาในกรุงวอชิงตัน ที่จะมีขึ้นในวันที่ 15 พฤศจิกายน 11 วัน หลังจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีในสหรัฐอเมริกาสิ้นสุดลง เพื่อทบทวนความคืบหน้าผลการออกมาตรการต่างๆ ที่สหรัฐออกมาก่อนหน้านี้


อนึ่ง กลุ่ม จี 20 ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2542 ประกอบด้วยสมาชิก 27 ประเทศ กลุ่มแรกคือ กลุ่มชาติอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ชาติ หรือกลุ่ม จี 7 (สหรัฐอเมริกา, อังกฤษ, แคนาดา, ฝรั่งเศส, อิตาลี, ญี่ปุ่น และเยอรมนี) และ สหภาพยุโรปที่เหลือเป็นกลุ่มประเทศเศรษฐกิจใหม่ขนาดใหญ่จากทั่วโลก คือ อาร์เจนตินา, ออสเตรเลีย, บราซิล, จีน, อินเดีย, อินโดนีเซีย, เม็กซิโก, รัสเซีย, ซาอุดีอาระเบีย, เกาหลีใต้, แอฟริกาใต้ และ ตุรกี
อ่านรายละเอียด

Tuesday, October 21, 2008

พระราชพิธีทรงยกสัปตปฎลเศวตฉัตรยอดพระเมรุ

วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2551 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินพรร้อมทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ โดยรถยนต์พระที่นั่งจากพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต มาถึงยังพระที่นั่งทรงธรรม พระเมรุ ท้องสนามหลวง เพื่อทรงประกอบพระราชพิธีทรงยกสัปตปฎลเศวตฉัตรยอดพระเมรุ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
แหล่งข้อมูล

พระเมรุมาศ พระเมรุ และเมรุ สมัยกรุงรัตนโกสินทร์

Sunday, October 19, 2008

สภาวะเสื่อมสลาย ของการเกษตรไทย

สภาวะเสื่อมสลาย ของการเกษตรไทย
การเกษตรเป็นสิ่งที่มีบทบาทสร้างความมั่นคงให้แก่พื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ลึกซึ้งเหนือกว่าเงินตรา และผลที่ได้รับจากการทำเกษตรย่อมนำไปสู่การรู้คุณค่าของชีวิตตัวเองอย่างสำคัญด้วย
หัวข้อที่กำลังนำมาวิเคราะห์เจาะลึกว่า "สภาวะเสื่อมสลายของการเกษตรไทย" ถ้าจะถามว่า เหตุใดผู้เขียนจึงหยิบยกเอาหัวข้อนี้มาพิจารณา นอกจากนั้นอาจมีคำถามต่อไปอีกว่า "มีอะไรเป็นตัวบ่งชี้ถึงความเสื่อมสลายดังกล่าว?"
เมื่อพูดถึงปัญหาที่เป็นพื้นฐานของสังคมท้องถิ่น ก็คงหนีไม่พ้นที่จะต้องกล่าวถึงภาวะครอบงำทางวัฒนธรรม ที่แทรกซึมมาในกระบวนการจัดการศึกษา นอกจากนั้นแล้วถ้าใครจะมายึดความอุดมสมบูรณ์ภายในชาติบ้านเมือง สิ่งที่ได้ผลลึกซึ้งที่สุดก็คือ "การยึดครองเงื่อนไขภายในกระบวนการจัดการศึกษาของท้องถิ่น" ซึ่งมีผลในระยะยาวและมีความลุ่มลึกอย่างยากที่จะนำมาแก้ไขได้
เมืองไทยเคยมีการเกษตรเป็นพื้นฐานชีวิตของคนท้องถิ่น ที่เป็นมรดกตกทอดกันมาอย่างเป็นธรรมชาติ ดังนั้น ถ้าใครจะคิดมายึดครองชาติบ้านเมืองเพื่อหวังประโยชน์ทางเศรษฐกิจก็คงหนีไม่พ้นที่จะต้องทำลายระบบการเกษตรเป็นเป้าหมายสำคัญ
อ่านรายละเอียด

Sunday, October 05, 2008

ผลการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานคร

ผลการนับคะแนน 100% จากจำนวนผู้ใช้สิทธิ์ในกรุงเทพฯ ร้อยละ 54 มีดังนี้

นายอภิรักษ์ได้ 991,018 คะแนน

นายประภัสร์ จงสงวน ได้ 543,488 คะแนน

นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ได้ 340,616 คะแนน

นายเกรียงศักดิ์ เจริญวงศักดิ์ ได้ 260,051 คะแนน

นางลีน่า จังจรรจา ได้ 6,667 คะแนน
แหล่งข้อมูล
Exit Poll ผลการสำรวจก่อนการเลือกตั้ง
สื่อตปท.ตีข่าวอภิรักษ์จ่อคว้าเก้าอี้ที่นั่งผู้ว่าอีกสมัย คาดผลอย่างเป็นทางการรู้เช้าวันจันทร์นี้
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่ากรุงเทพมหานคร มีแนวโน้มที่จะประสบชัยชนะในการเลือกตั้งผู้ว่า เมื่อวันที่ 5 ก.ย. ได้เป็นผู้ว่าฯอีกสมัย หลังจากโพลสำรวจชี้ว่า เขามีคะแนนนำผู้สมัครคนอื่นๆ ในกทม.ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์มีฐานเสียงได้รับความนิยมจากชาวกรุงเทพ โดยก่อนหน้านี้ นายอภิรักษ์ ได้ประกาศชูนโยบายจะปรับปรุงสิ่งแวดล้อม,คุณภาพชีวีตของชาวกรุงเทพมหานคร 10 ล้านคน มุ่งแก้ปัญหาจราจร ระบบสาธารณูปโภค และการให้การศึกษา อย่างไรก็ตาม สำหรับผลอย่างเป็นทางการคาดว่า จะทราบกันในช่วงเช้าวันจันทร์
อย่างไรก็ตาม รอยเตอร์รายงานด้วยว่า การแข่งขันเลือกตั้งผู้ว่ากทม.ครั้งนี้ ยังมีสัสันเหลือเชื่อเกินขึ้น โดยผู้สมัครรายหนึ่งแต่งกยเป็นเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ ส่วนเจ้าหน้าที่หาเสียงผู้สมัครหญิงอีกราย หรือนางลีน่า จังจรรจา ต้องเสียชีวิตตกคลองขณะหาเสียง ส่วนนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ก็ตกเป็นข่าวใหญ่จากกรณีทำร้ายผู้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์รายหนึ่งด้วย แหล่งข้อมูล

Friday, October 03, 2008

การเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานคร วันที่ 5 ตุลาคม 2551

ขอเชิญประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งออกมาใช้สิทธิ์เลือกคนดีที่เหมาะสมเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในวันที่ 5 ตุลาคม 2551 ตั้งแต่เวลา 08.00 - 15.00 นข่าวการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานคร 2551
เบอร์ 1 นายกิตติศักดิ์ ถิรวิศิษฏ์ อาชีพ ค้าขาย

เบอร์ 2 นายเกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ อาชีพ นักธุรกิจ

เบอร์ 3 ร.อ.เมตตา เต็มชำนาญ อาชีพ รับราชการทหาร

เบอร์ 4 นายวราวุธ ฐานังกรณ์ อาชีพ ค้าขาย

เบอร์ 5 นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อาชีพ ข้าราชการการเมือง

เบอร์ 6 นายสุเมธ ตันธนาสิริกุล อาชีพ นักธุรกิจ

เบอร์ 7 นางลีนา จังจรรจา อาชีพ นักกฎหมายช่วยเหลือประชาชน

เบอร์ 8 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ อาชีพ นักการเมือง

เบอร์ 9 นายวิทยา จังกอบพัฒนา อาชีพ พนักงานธนาคาร

เบอร์ 10 นายประภัสร์ จงสงวน อาชีพ นักบริหารรัฐวิสาหกิจ

เบอร์ 11 นายภพศักดิ์ ปานสีทอง อาชีพ นักธุรกิจ

เบอร์ 12 นางธรณี ฤทธีธรรมรงค์ อาชีพ แม่บ้าน

เบอร์ 13 นายอุดม วิบูลเทพาชาติ อาชีพ นักธุรกิจ

เบอร์ 14 น.ส.วชิราภรณ์ อายุยืน อาชีพ นักบริหาร

เบอร์ 15 นายสมชาย ไพบูลย์ อาชีพ นักการเมืองท้องถิ่น

เบอร์ 16 ว่าที่ พ.ต.นิพนธ์ ซิ้มประยูร อาชีพ นักกฎหมาย
กทม.เผยรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯ กทม. ทั้ง 16 คน

ศูนย์ข้อมูลกรุงเทพมหานคร


ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในกรุงเทพมหานครมีประมาณ 4,200,000 คน เมื่อเวลา 14.00 น. ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เจ้าหน้าที่ประมวลผลการเลือกตั้งได้ซักซ้อมระบบการรายงานผลการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โดยเจ้าหน้าที่ได้บรรยายขั้นตอนการดำเนินการหลังปิดการลงคะแนนเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครว่า กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งพร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจนำหีบบัตรส่งต่อคณะกรรมการนับคะแนนประจำสถานที่นับคะแนนแต่ละแห่ง จากนั้นจะตรวจสอบความถูกต้องและเปิดหีบนับคะแนนนับยอดจำนวนบัตรกับที่รายงานไว้ แล้วจึงนำบัตรแยกเป็นมัดละ 50 บัตร นำใส่ถุงใสถุงละ 500 บัตร และนำไปรวมไว้ในภาชนะรวมบัตร เพื่อรอแจกจ่ายนับคะแนน

จากนั้น คณะกรรมการนับคะแนนจะมอบให้เจ้าหน้าที่นับคะแนน เพื่อดำเนินการนับคะแนน เมื่อนับคะแนนเสร็จแล้ว จะประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ ณ สถานที่นับคะแนน และส่งผลการประมวลผลคะแนนด้วยระบบออนไลน์ไปให้กับคณะกรรมการเลือกตั้งประจำท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร ที่ศูนย์ประสานงานเลือกตั้งกรุงเทพมหานคร โดยจะแสดงผลทางจอทีวีขนาดใหญ่ 2 จอ จนครบทั้ง 50 แห่ง และจะประกาศผลการนับคะแนนเลือกตั้งผู้ว่าฯ ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร โดยคาดว่า จะทราบผลอย่างไม่เป็นทางการในเวลา 01.00 น.ของวันที่ 6 ตุลาคม

นายประพันธ์ นัยโกวิท แถลงว่า วันนี้ ตนได้มาตรวจความพร้อมระบบการรายงานผลการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่ศูนย์ประสานการเลือกตั้งกรุงเทพมหานคร พบว่า เป็นไปด้วยความเรียบร้อยดี และเชื่อว่า ในวันที่ 5 ตุลาคมนี้ระบบรายงานผลการเลือกตั้งจะมีความถูกต้อง แม่นยำ ทั้งนี้ กรรมการการเลือกตั้งประจำ กทม. ได้รายงานไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้งถึงการเตรียมการเลือกตั้งในวันดังกล่าว ทุกอย่างมีความพร้อม 100 เปอร์เซ็นต์ในทุกด้าน ตั้งแต่การพิมพ์บัญชีรายชื่อ การติดประกาศรายชื่อผู้ลงเลือกตั้ง การแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยและเจ้าหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย และบัตรเลือกตั้งที่ส่งไปยังหน่วยเรียบร้อยแล้ว

นายประพันธ์ กล่าวว่า ในส่วนของบัตรเลือกตั้ง ซึ่งครั้งนี้มีผู้มีสิทธิเลือกตั้งในกรุงเทพมหานครมีประมาณ 4,200,000 คน โดยกรรมการเลือกตั้งได้พิมพ์บัตรเลือกตั้งไว้จำนวน 4,400,000 ใบ เนื่องจากเป็นการเผื่อจำนวนเพิ่มชื่อและถอนชื่อสิทธิเลือกตั้ง อีกทั้งเวลาส่งบัตรไปยังหน่วยก็ส่งไปเป็นเล่มไม่ได้ส่งบัตรเท่าจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม กรรมการเลือกตั้งประจำกทม.ได้จ่ายบัตรเลือกตั้งไปยังหน่วยเลือกตั้งในกรุงเทพทั้งหมด 6,337 หน่วย โดยจะมีการติดประกาศให้ทราบว่า มีบัตรเลือกตั้งในแต่ละหน่วยเลือกตั้งเท่าไร และหลังจากปิดเลือกตั้งจะมีการประกาศจำนวนผู้มาใช้สิทธิ ส่วนบัตรที่เหลือจะเจาะรูและร้อย ฉะนั้นบัตรเลือกตั้งทั้งหมดจะสามารถตรวจสอบจำนวนได้ อีกทั้งแต่ละหน่วยเลือกตั้งจะมีการติดตั้งกล้องวงจรปิด และตนได้ย้ำกับเจ้าหน้าที่ที่ดูแลการเลือกตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นกลางด้วยโดยเชื่อว่า การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นไปด้วยความสุจริตและโปร่งใส

ทั้งนี้ นายประพันธ์ กล่าวเชิญชวนชาวกรุงเทพมหานครที่มีสิทธิเลือกตั้งขอให้มาใช้สิทธิเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานคร ในวันที่ 5 ตุลาคมนี้ ตั้งแต่เวลา 8.00 - 15.00 น. โดยนายประพันธ์กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้มีความสำคัญมาก ซึ่งงบประมาณกรุงเทพต่อปีสูงถึง 6 หมื่นล้านบาทที่จะนำไปพัฒนากรุงเทพให้มีความเจริญและสวยงาม โดยอยากให้ประชาชนใช้โอกาสนี้แสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยมีระบอบประชาธิปไตย ถึงแม้ว่า การเมืองระดับประเทศจะสับสนวุ่นวาย และยิ่งมีผู้ใช้สิทธิจำนวนมากก็เป็นสิ่งยืนยันถึงกระบวนการเลือกตั้ง

ผู้สื่อข่าวถามว่า ทาง กกต. จะมีการเตรียมรับมือกับภาพอากาศ หลังที่มีการพยากรณ์อากาศ ในวันที่ 5 ตุลาคมนี้ ว่าจะมีปริมาณฝนในช่วงเช้า ประมาณ 10 - 20 เปอร์เซ็นต์ และในช่วงบ่าย 60 - 80 เปอร์เซ็นต์ นายประพันธ์กล่าวว่า ปัญหาดินฟ้าอากาศ ทาง กรุงเทพมหานคร และ กกต.ประจำกทม. ได้มีการเตรียมการไว้แล้ว เพื่อป้องกันเอกสารและบัตรเลือกตั้งเสียหาย

ด้านนายรัฐพล รองปลัดกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า หากเกิดเหตุฝนตกหนัก ทางหน่วยได้จัดเตรียมเต็นท์พักรอไว้เพิ่มเติม และจะมีเจ้าหน้าเทศกิจเตรียมร่มไว้อำนวยความสะดวกผู้มาใช้สิทธิ อีกทั้งยังได้เตรียมถุงพลาสติกครอบหีบบัตรอีกทีหนึ่ง ก่อนส่งมายังศาลาว่าการกรุงเทพ โดยคาดว่า ในวันอาทิตย์ การจราจรคงไม่ติดขัดมากจนทำให้การขนหีบคะแนนเลือกตั้งล่าช้ากว่าที่กำหนดไว้ แหล่งข้อมูล