ศธ.ตื่นแก้คุณภาพเด็กไทยโอเน็ตตกต่ำ [8 เม.ย. 52 - 06:12]
จากการประกาศผลสอบแบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐานหรือโอเน็ต ซึ่งสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) ได้เปิดให้นักเรียนยื่นเรื่องขอดูกระดาษคำตอบได้ในวันที่ 7 เม.ย.นั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดช่วงเช้าวันที่ 7 เม.ย. มีนักเรียน ม.6 เดินทางมายื่นคำร้องขอดูกระดาษคำตอบอย่างต่อเนื่องประมาณ 200 คน ซึ่งผู้ที่ยื่นเรื่องในวันนี้ จะดูกระดาษคำตอบได้ในวันที่ 9 เม.ย.
ด้าน ศ.ดร.อุทุมพร จามรมาน ผอ.สทศ. กล่าวว่า สทศ.จัดให้เด็กมาดูกระดาษคำตอบได้วันละ 400 คน และคาดว่าคงมีนักเรียนมาดูคะแนนประมาณ 400 คน นอกจากนี้ สทศ.ได้รับบัตรสนเท่ห์ว่า ในการสอบโอเน็ตนักเรียน ป.6 มีบางโรงเรียนครูบอกคำตอบเด็ก ซึ่ง สทศ.ก็ส่งเจ้าหน้าที่ลงไปตรวจสอบ และเมื่อผลการสอบออกมา หากพบว่ามีโรงเรียน 10 โรง ซึ่งคะแนนในปีนี้สูงแบบพรวดพราดและค่าคะแนนกระจุก ไม่กระจาย ซึ่งน่าสงสัยว่าจะมีการบอกคำตอบ สทศ.ได้ทำหนังสือถึง ผอ.เขตพื้นที่การศึกษาแล้ว และคุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ก็ได้ขอดูข้อมูลดังกล่าวด้วย
ด้านคุณหญิง กษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เลขาธิการกพฐ. กล่าวว่า สาเหตุที่เด็กทำคะแนนโอเน็ตได้น้อย คือ 1. ความตั้งใจของเด็กที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัย 2. เด็กยังไม่คุ้นเคยกับข้อสอบแนวคิดวิเคราะห์ 3. คุณภาพการเรียนการสอนของครูและสื่อการสอนยังไม่ดีพอ ในวันที่ 8 เม.ย. ทาง สพฐ.จะประชุมเพื่อวิเคราะห์ปัญหานี้
ส่วนนายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ยอมรับว่าคะแนนของเด็กไทยตกเกณฑ์และต้องได้รับการพัฒนา โดยในวันที่ 9 เม.ย.นี้ จะประชุมร่วมกับคณะกรรมการการเพื่อแก้ไขปัญหาการเรียนการสอน รายวิชา วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และภาษาไทย โดยได้เพิ่มวิชาภาษาอังกฤษและสังคม เพื่อสรุปและเสนอให้ที่ประชุม ศธ.พิจารณาต่อไป ด้าน ศ.ดร.สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ ผอ.สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา กล่าวว่า รัฐบาลต้องเร่งพัฒนาคุณภาพครู ตั้งแต่กระบวนการผลิตโดยคัดเลือกคนดีคนเก่งมาเรียนครู ส่วน รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า คงถึงเวลาที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ควรจะต้องลงมาดูแลคุณภาพการศึกษาด้วยตนเองแล้ว. แหล่งข้อมูล
Thursday, April 09, 2009
Friday, April 03, 2009
G 20 มีมติอัดฉีดเงิน5ล้านล้าน$ กู้วิกฤติเศรษฐกิจ
บรรดาผู้นำโลกทั้ง 20 ประเทศในที่ประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำและกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ 20 ประเทศ (จี20) ได้เสร็จสิ้นการประชุมร่วมกัน ด้วยการให้คำมั่นสัญญา อัดฉีดเงินก้อนใหญ่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่จำนวน 5 ล้านล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ ยังเห็นพ้องร่วมมือกันปราบปรามแหล่งหลบเลี่ยงภาษี และเข้าถึงระบบการจ่ายเงินของภาคธุรกิจเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามเร่งรับมือกับวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ ที่ประชุมสุดยอดจี 20 ระบุว่า จะเพิ่มเติมเงินให้แก่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และสถาบันการเงินหรือหน่วยงานด้านการค้าอื่นๆ จำนวนกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อให้นำไปช่วยเหลือประเทศที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจ
นายกอร์ดอน บราวน์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ระบุว่า ภายในปี 2553 กลุ่มจี20 จะใช้เงิน 5 ล้านล้านดอลลาร์รับมือกับวิกฤติเศรษฐกิจ พร้อมทั้งชื่นชมว่าดำเนินการครั้งนี้คือการเริ่มต้นสร้างระเบียบโลกใหม่ และว่า บรรดาผู้นำทั้ง 20 ประเทศ สามารถตกลงกันได้ใน 6 ประเด็นใหญ่ๆ คือ การปฏิรูประบบธนาคาร, การแก้ปัญหาหนี้เสียของธนาคาร, การฟื้นฟูการเติบโตของเศรษฐกิจโลก, การคุมเข้มด้านการตรวจสอบภาคการเงินทั่วโลก การช่วยเหลือด้านการเงินเพื่อสนับสนุนการค้าระหว่างประเทศ, การช่วยเหลือประเทศยากจนและการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ ที่ประชุม ยังเห็นพ้องให้มีการคุมเข้มในการตรวจสอบกองทุนเฮดจ์ฟันด์, ใช้มาตรฐานระบบบัญชีระหว่างประเทศ, ดำเนินการเพื่อปราบปรามแหล่งพักพิงของพวกหลบเลี่ยงภาษี ซึ่งไม่ยอมแจ้งข้อมูลเมื่อได้รับการร้องขอ
"โอบามา"ยกย่องสร้างจุดเปลี่ยนฟื้นศก.โลก
นายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐ ยกย่องการประชุมสุดยอดจี 20 โดยกล่าวว่าการที่บรรดาผู้นำในที่ประชุม ต่างเห็นชอบในข้อตกลงต่าง ๆ ที่จะช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจ และป้องกันไม่ให้วิกฤติที่รุนแรงเช่นครั้งนี้เกิดขึ้นอีก ถือเป็นการประชุมครั้งประวัติศาสตร์ เนื่องจากวิกฤติเศรษฐกิจที่โลกกำลังเผชิญนั้นใหญ่หลวง และจะนำมาซึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญในการฟื้นเศรษฐกิจโลก และยังชื่นชมผู้นำประเทศในการประชุมจี 20 ที่ต่อต้านนโยบายกีดกันทางการค้า และสามารถประสานความแตกต่างทางความคิดให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้
รายงานข่าวระบุด้วยว่า ประธานาธิบดีโอบามามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งที่ช่วยให้ข้อตกลงในที่ประชุมจี 20 บรรลุผล โดยเฉพาะการแก้ไขความเห็นที่แตกต่างกันของฝรั่งเศสและจีน เกี่ยวกับประเด็นการจัดการปัญหาเรื่องแหล่งหลบซ่อนภาษี
ฝรั่งเศส-เยอรมนีร่วมชื่นชมผลสำเร็จจี20
นายนิโกลาส์ ซาร์โกซี ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ซึ่งก่อนหน้านี้เคยออกมาขู่จะเดินออกจากที่ประชุม หากผลการประชุมออกมาไม่เป็นที่น่าพอใจ ยอมรับว่าการประชุมครั้งนี้บรรลุผลอย่างน่าพอใจกว่าที่เขาคาดคิดไว้ และว่าหมดเวลาแล้วที่การดำเนินการของธนาคารและสถาบันการเงินจะเป็นความลับที่ไม่สามารถตรวจสอบได้อีกต่อไป
ขณะที่นางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี กล่าวว่า ที่ประชุมจี 20 ครั้งนี้ นำมาซึ่งการบรรลุข้อตกลงครั้งประวัติศาสตร์ ที่ประชุมกลุ่มจี 20 เห็นชอบในมาตรการรับมือวิกฤติเศรษฐกิจร่วมกันมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งรวมถึงการเพิ่มทุนให้กับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ อีก 2 เท่า เป็น 750,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ วางกฎระเบียบกับสถาบันการเงิน รวมถึงกิจกรรมของกองทุนเก็งกำไรต่าง ๆ ให้เข้มงวดมากขึ้น และดำเนินมาตรการเข้มงวดกับประเทศต่าง ๆ ที่ถูกใช้เป็นแหล่งหลบภาษี
แหล่งข้อมูล
นอกจากนี้ ยังเห็นพ้องร่วมมือกันปราบปรามแหล่งหลบเลี่ยงภาษี และเข้าถึงระบบการจ่ายเงินของภาคธุรกิจเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามเร่งรับมือกับวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ ที่ประชุมสุดยอดจี 20 ระบุว่า จะเพิ่มเติมเงินให้แก่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และสถาบันการเงินหรือหน่วยงานด้านการค้าอื่นๆ จำนวนกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อให้นำไปช่วยเหลือประเทศที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจ
นายกอร์ดอน บราวน์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ระบุว่า ภายในปี 2553 กลุ่มจี20 จะใช้เงิน 5 ล้านล้านดอลลาร์รับมือกับวิกฤติเศรษฐกิจ พร้อมทั้งชื่นชมว่าดำเนินการครั้งนี้คือการเริ่มต้นสร้างระเบียบโลกใหม่ และว่า บรรดาผู้นำทั้ง 20 ประเทศ สามารถตกลงกันได้ใน 6 ประเด็นใหญ่ๆ คือ การปฏิรูประบบธนาคาร, การแก้ปัญหาหนี้เสียของธนาคาร, การฟื้นฟูการเติบโตของเศรษฐกิจโลก, การคุมเข้มด้านการตรวจสอบภาคการเงินทั่วโลก การช่วยเหลือด้านการเงินเพื่อสนับสนุนการค้าระหว่างประเทศ, การช่วยเหลือประเทศยากจนและการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ ที่ประชุม ยังเห็นพ้องให้มีการคุมเข้มในการตรวจสอบกองทุนเฮดจ์ฟันด์, ใช้มาตรฐานระบบบัญชีระหว่างประเทศ, ดำเนินการเพื่อปราบปรามแหล่งพักพิงของพวกหลบเลี่ยงภาษี ซึ่งไม่ยอมแจ้งข้อมูลเมื่อได้รับการร้องขอ
"โอบามา"ยกย่องสร้างจุดเปลี่ยนฟื้นศก.โลก
นายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐ ยกย่องการประชุมสุดยอดจี 20 โดยกล่าวว่าการที่บรรดาผู้นำในที่ประชุม ต่างเห็นชอบในข้อตกลงต่าง ๆ ที่จะช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจ และป้องกันไม่ให้วิกฤติที่รุนแรงเช่นครั้งนี้เกิดขึ้นอีก ถือเป็นการประชุมครั้งประวัติศาสตร์ เนื่องจากวิกฤติเศรษฐกิจที่โลกกำลังเผชิญนั้นใหญ่หลวง และจะนำมาซึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญในการฟื้นเศรษฐกิจโลก และยังชื่นชมผู้นำประเทศในการประชุมจี 20 ที่ต่อต้านนโยบายกีดกันทางการค้า และสามารถประสานความแตกต่างทางความคิดให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้
รายงานข่าวระบุด้วยว่า ประธานาธิบดีโอบามามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งที่ช่วยให้ข้อตกลงในที่ประชุมจี 20 บรรลุผล โดยเฉพาะการแก้ไขความเห็นที่แตกต่างกันของฝรั่งเศสและจีน เกี่ยวกับประเด็นการจัดการปัญหาเรื่องแหล่งหลบซ่อนภาษี
ฝรั่งเศส-เยอรมนีร่วมชื่นชมผลสำเร็จจี20
นายนิโกลาส์ ซาร์โกซี ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ซึ่งก่อนหน้านี้เคยออกมาขู่จะเดินออกจากที่ประชุม หากผลการประชุมออกมาไม่เป็นที่น่าพอใจ ยอมรับว่าการประชุมครั้งนี้บรรลุผลอย่างน่าพอใจกว่าที่เขาคาดคิดไว้ และว่าหมดเวลาแล้วที่การดำเนินการของธนาคารและสถาบันการเงินจะเป็นความลับที่ไม่สามารถตรวจสอบได้อีกต่อไป
ขณะที่นางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี กล่าวว่า ที่ประชุมจี 20 ครั้งนี้ นำมาซึ่งการบรรลุข้อตกลงครั้งประวัติศาสตร์ ที่ประชุมกลุ่มจี 20 เห็นชอบในมาตรการรับมือวิกฤติเศรษฐกิจร่วมกันมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งรวมถึงการเพิ่มทุนให้กับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ อีก 2 เท่า เป็น 750,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ วางกฎระเบียบกับสถาบันการเงิน รวมถึงกิจกรรมของกองทุนเก็งกำไรต่าง ๆ ให้เข้มงวดมากขึ้น และดำเนินมาตรการเข้มงวดกับประเทศต่าง ๆ ที่ถูกใช้เป็นแหล่งหลบภาษี
แหล่งข้อมูล
Saturday, March 28, 2009
การบินไทยปิดฉากดอนเมือง (อีกครั้ง)
การบินไทยปิดฉากดอนเมือง
พล.อ.อ.ณรงค์ศักดิ์กล่าวว่า เที่ยวบินสุดท้ายที่จะให้บริการที่สนามบินดอนเมืองวันที่ 28 มี.ค.2552 นี้คือเที่ยวบินทีจี 1047 จากขอนแก่น-ดอนเมือง โดยออกจากขอนแก่นเวลา 19.45 น. ถึงบินดอนเมือง เวลา 20.40 น. ส่วนเที่ยวบินสุดท้ายที่จะออกจากสนามบินดอนเมืองคือเที่ยวบิน ทีจี 1124 เส้นทางดอนเมือง-เชียงใหม่ ออกจากสนามบินดอนเมืองเวลา 22.15 น. ถึงสนามบินเชียงใหม่เวลา 23.25 น.
ส่วนเที่ยวบินที่เดิมต้องลงที่สนามบินดอนเมืองจำนวน 5 เที่ยวบินได้มีการย้ายมาลงที่สนามบินสุวรรณภูมิได้แก่ ทีจี 1015 เส้นทางอุดรธานี-สุวรรณภูมิ, ทีจี 1141 เส้นทางเชียงราย-สุวรรณภูมิ, ทีจี 1165 เส้นทางพิษณุโลก-สุวรรณภูมิ, ทีจี 1236 หาดใหญ่-สุวรรณภูมิ, ทีจี 1274 เส้นทางสุราษฎร์ธานี-สุวรรณภูมิ
โดยเที่ยวบินแรกที่จะออกจากสนามบินสุวรรณภูมิในวันที่ 29 มี.ค. คือทีจี 020 เส้นทางบิน สุวรรณภูมิ-อุบลราชธานี ออกจากสนามบินสุวรรณภูมิเวลา 06.00 น. ถึงอุบลราชธานีเวลา 07.05 น.
อ่านรายละเอียด
ปิดดอนเมือง แห่อาลัยแน่น 2549
พล.อ.อ.ณรงค์ศักดิ์กล่าวว่า เที่ยวบินสุดท้ายที่จะให้บริการที่สนามบินดอนเมืองวันที่ 28 มี.ค.2552 นี้คือเที่ยวบินทีจี 1047 จากขอนแก่น-ดอนเมือง โดยออกจากขอนแก่นเวลา 19.45 น. ถึงบินดอนเมือง เวลา 20.40 น. ส่วนเที่ยวบินสุดท้ายที่จะออกจากสนามบินดอนเมืองคือเที่ยวบิน ทีจี 1124 เส้นทางดอนเมือง-เชียงใหม่ ออกจากสนามบินดอนเมืองเวลา 22.15 น. ถึงสนามบินเชียงใหม่เวลา 23.25 น.
ส่วนเที่ยวบินที่เดิมต้องลงที่สนามบินดอนเมืองจำนวน 5 เที่ยวบินได้มีการย้ายมาลงที่สนามบินสุวรรณภูมิได้แก่ ทีจี 1015 เส้นทางอุดรธานี-สุวรรณภูมิ, ทีจี 1141 เส้นทางเชียงราย-สุวรรณภูมิ, ทีจี 1165 เส้นทางพิษณุโลก-สุวรรณภูมิ, ทีจี 1236 หาดใหญ่-สุวรรณภูมิ, ทีจี 1274 เส้นทางสุราษฎร์ธานี-สุวรรณภูมิ
โดยเที่ยวบินแรกที่จะออกจากสนามบินสุวรรณภูมิในวันที่ 29 มี.ค. คือทีจี 020 เส้นทางบิน สุวรรณภูมิ-อุบลราชธานี ออกจากสนามบินสุวรรณภูมิเวลา 06.00 น. ถึงอุบลราชธานีเวลา 07.05 น.
อ่านรายละเอียด
ปิดดอนเมือง แห่อาลัยแน่น 2549
Wednesday, March 25, 2009
สารสกัด "พญายอ" มีสรรพคุณทำลายเชื้อเริม-งูสงัด
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์วิจัยพบสารสกัด "ใบพญายอ" มีฤทธิ์ทำลายเชื้อโรคเริม งูสวัด ช่วยแผลตกสะเก็ด หายเร็ว ลดอาการปวด ไม่มีผลข้างเคียง เตรียมถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ อภ.ผลิตขายทดแทนนำเข้าจากต่างประเทศ
เมื่อวันที่ 24 มีนาคม นพ.มานิต ธีระตันติกานนท์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ทำการศึกษาวิจัยสมุนไพรพญายอ ตั้งแต่ พ.ศ.2535 โดยศึกษาฤทธิ์ของสารสกัดจากใบเสลดพังพอน และใบพญายอต่อเชื้อโรคเริม ซึ่งเป็นไวรัสที่มีชื่อว่าเฮอร์ปีส์ ซิมเพลกซ์ ไวรัสชนิดที่ 2 หรือเอชเอสวี-2 เปรียบเทียบกับยามาตรฐานและกลุ่มควบคุม สารสกัดจากใบตำลึง พบว่าสารสกัดจากพญายอมีฤทธิ์ทำลายไวรัสเอชเอสวี-2 ได้ แต่สารสกัดจากใบเสลดพังพอนและใบตำลึงไม่มีฤทธิ์ดังกล่าว
"นอกจากนี้ ได้ทดลองทางคลีนิครักษาผู้ป่วยโรคเริมที่อวัยวะสืบพันธุ์ชนิดเอชเอสวี-2 ด้วยยาครีมที่พัฒนาจากสารสกัดจากใบพญายอ โดยทาบริเวณที่เป็นโรค พบว่าครีมพญายอมีประสิทธิภาพดี ทำให้แผลหายเร็วขึ้น ลดความเจ็บปวดได้ดี และครีมพญายอไม่ทำให้แสบระคายเคืองที่แผล พร้อมกันนี้ได้ทดลองทางคลีนิคกับผู้ป่วยโรคงูสวัดจากเชื้อไวรัสวาริเซลล่า ซอสเตอร์ หรือวีแซดวี ด้วยยาเดียวกัน พบว่าครีมพญายอสามารถรักษาผู้ป่วยโรคงูสวัดได้ ทำให้แผลตกสะเก็ดหายเร็ว ลดอาการปวดได้ดี และไม่พบผลข้างเคียงใดๆ จากการใช้ครีมพญายอไม่ทำให้เกิดอาการแสบระคายเคืองทาแล้วรู้สึกเย็นสบาย" นพ.มานิตกล่าว
นอกจากนี้ นพ.มานิตกล่าวว่า ล่าสุด กรมวิทยาศาสตร์ฯ ได้ถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีการผลิตครีมพญายอให้แก่องค์การเภสัชกรรม (อภ.) เพื่อผลิตออกจำหน่ายในระดับอุตสาหกรรมทดแทนยารักษาโรคเริมและงูสวัดที่นำเข้าจากต่างประเทศ และยังมีโครงการวิจัยสมุนไพรพญายออย่างต่อเนื่อง เพื่อคัดเลือกส่วนสกัดจากพญายอที่บริสุทธิ์ที่มีฤทธิ์เพิ่มขึ้น อีกทั้งศึกษากลไกการออกฤทธิ์ของสารจากพญายอ เพื่อพัฒนาเป็นยาใช้ภายในต่อไป ซึ่งจะช่วยสนับสนุนส่งเสริมนโยบายการพึ่งพาตนเองด้านสาธารณสุขของประเทศ
สำหรับสมุนไพรพญายอ หรือพญาปล้องทอง เป็นพืชที่หาได้ทั่วไป แพทย์พื้นบ้านใช้รักษาโรคผิวหนังจำพวกเริมและงูสวัด โดยใช้ใบสดประมาณ 1 กำมือ ตำผสมเหล้าใช้ทาบ่อยๆ หรือใช้ 2-10 ใบ ขยี้หรือตำให้แหลกนำไปทา หรือพอกแก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย แต่ไม่สามารถใช้แก้พิษงูได้ แหล่งข้อมูล
เมื่อวันที่ 24 มีนาคม นพ.มานิต ธีระตันติกานนท์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ทำการศึกษาวิจัยสมุนไพรพญายอ ตั้งแต่ พ.ศ.2535 โดยศึกษาฤทธิ์ของสารสกัดจากใบเสลดพังพอน และใบพญายอต่อเชื้อโรคเริม ซึ่งเป็นไวรัสที่มีชื่อว่าเฮอร์ปีส์ ซิมเพลกซ์ ไวรัสชนิดที่ 2 หรือเอชเอสวี-2 เปรียบเทียบกับยามาตรฐานและกลุ่มควบคุม สารสกัดจากใบตำลึง พบว่าสารสกัดจากพญายอมีฤทธิ์ทำลายไวรัสเอชเอสวี-2 ได้ แต่สารสกัดจากใบเสลดพังพอนและใบตำลึงไม่มีฤทธิ์ดังกล่าว
"นอกจากนี้ ได้ทดลองทางคลีนิครักษาผู้ป่วยโรคเริมที่อวัยวะสืบพันธุ์ชนิดเอชเอสวี-2 ด้วยยาครีมที่พัฒนาจากสารสกัดจากใบพญายอ โดยทาบริเวณที่เป็นโรค พบว่าครีมพญายอมีประสิทธิภาพดี ทำให้แผลหายเร็วขึ้น ลดความเจ็บปวดได้ดี และครีมพญายอไม่ทำให้แสบระคายเคืองที่แผล พร้อมกันนี้ได้ทดลองทางคลีนิคกับผู้ป่วยโรคงูสวัดจากเชื้อไวรัสวาริเซลล่า ซอสเตอร์ หรือวีแซดวี ด้วยยาเดียวกัน พบว่าครีมพญายอสามารถรักษาผู้ป่วยโรคงูสวัดได้ ทำให้แผลตกสะเก็ดหายเร็ว ลดอาการปวดได้ดี และไม่พบผลข้างเคียงใดๆ จากการใช้ครีมพญายอไม่ทำให้เกิดอาการแสบระคายเคืองทาแล้วรู้สึกเย็นสบาย" นพ.มานิตกล่าว
นอกจากนี้ นพ.มานิตกล่าวว่า ล่าสุด กรมวิทยาศาสตร์ฯ ได้ถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีการผลิตครีมพญายอให้แก่องค์การเภสัชกรรม (อภ.) เพื่อผลิตออกจำหน่ายในระดับอุตสาหกรรมทดแทนยารักษาโรคเริมและงูสวัดที่นำเข้าจากต่างประเทศ และยังมีโครงการวิจัยสมุนไพรพญายออย่างต่อเนื่อง เพื่อคัดเลือกส่วนสกัดจากพญายอที่บริสุทธิ์ที่มีฤทธิ์เพิ่มขึ้น อีกทั้งศึกษากลไกการออกฤทธิ์ของสารจากพญายอ เพื่อพัฒนาเป็นยาใช้ภายในต่อไป ซึ่งจะช่วยสนับสนุนส่งเสริมนโยบายการพึ่งพาตนเองด้านสาธารณสุขของประเทศ
สำหรับสมุนไพรพญายอ หรือพญาปล้องทอง เป็นพืชที่หาได้ทั่วไป แพทย์พื้นบ้านใช้รักษาโรคผิวหนังจำพวกเริมและงูสวัด โดยใช้ใบสดประมาณ 1 กำมือ ตำผสมเหล้าใช้ทาบ่อยๆ หรือใช้ 2-10 ใบ ขยี้หรือตำให้แหลกนำไปทา หรือพอกแก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย แต่ไม่สามารถใช้แก้พิษงูได้ แหล่งข้อมูล
Wednesday, March 11, 2009
คนที่มีระดับไอคิวสูงมีแนวโน้มมีชีวิตยืนยาวและสุขภาพแข็งแรงกว่า
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเอดินเบิร์ก และสภาวิจัยทางการแพทย์ในกลาสโกว์ สก็อตแลนด์ ได้ติดตามผลกลุ่มตัวอย่าง 7,414 คนทั่วประเทศเป็นเวลา 20 ปี ในการศึกษาที่ตอกย้ำว่าสุขภาพจิตที่ดีส่งผลให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงด้วยเช่นกัน
นักวิจัยชี้ว่าเวลาในการตอบสนองของคนเราเป็นมาตรวัดระดับความเฉลียวฉลาด ซึ่งในทางกลับกันถือเป็นดัชนีบ่งชี้ความสมบูรณ์ของร่างกาย หรือการประสานงานของอวัยวะส่วนต่างๆ
“ผลการศึกษาของเราบ่งชี้ว่าเวลาในการตอบสนอง ซึ่งบ่งชี้ถึงระดับสติปัญญา เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุ ซึ่งรวมถึงโรคหลอดเลือดหัวใจ
ผลวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารอินเทลลิเจนซ์สัปดาห์นี้ ถือเป็นงานวิจัยชิ้นแรกที่ให้ความสำคัญกับเวลาในการตอบสนองและการเสียชีวิต โดยเปรียบเทียบกับปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น การสูบบุหรี่ และการดื่มสุรา
ผู้จัดทำรายงานระบุว่ามีหลักฐานเพิ่มขึ้นว่าคนที่มีระดับไอคิวสูงมีแนวโน้มมีชีวิตยืนยาวและสุขภาพแข็งแรงกว่า
แม้ข้อเท็จจริงนี้ส่วนหนึ่งสามารถอธิบายได้จากความแตกต่างของรูปแบบการใช้ชีวิต เนื่องจากคนฉลาดมีแนวโน้มน้อยที่จะสูบบุหรี่และน้ำหนักเกิน แต่ก่อนหน้านี้ยังไม่มีคำอธิบายข้อแตกต่างอื่นๆ อีกหลายอย่าง
อาสาสมัครในการศึกษานี้ถูกติดตามผลมาตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษ 1980 โดยมีการวัดเวลาในการตอบสนองด้วยอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เชื่อมต่อกับหน้าจอขนาดเล็กและปุ่มตัวเลขห้าปุ่ม
อาสาสมัครต้องกดปุ่มตัวเลขให้ตรงกับตัวเลขที่ปรากฏบนหน้าจอ โดยนักวิจัยจะวัดระยะเวลาในการตอบสนองและคำนวณค่าเฉลี่ยออกมา
นับจากนั้นจนสิ้นสุดการติดตามผลพบว่าอาสาสมัครเสียชีวิต 1,289 ราย ในจำนวนนี้มีสาเหตุจากโรคหัวใจ 568 ราย
จากนั้น นักวิจัยนำเวลาในการตอบสนองของผู้ที่เสียชีวิตและผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ไปเปรียบเทียบกับพฤติกรรมการสูบบุหรี่ น้ำหนักตัว และปัจจัยอื่นๆ
ผลการศึกษาพบว่าคนที่ตอบสนองช้ามีแนวโน้มเสียชีวิตก่อนวัยด้วยสาเหตุต่างๆ เพิ่มขึ้น 2.6 เท่า การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเดียวที่เชื่อมโยงกับปัจจัยเสี่ยงสำคัญในการเสียชีวิต กล่าวคือทำให้อาสาสมัครมีแนวโน้มเสียชีวิตก่อนวัยเพิ่มขึ้น 3.03 เท่า
การออกกำลังกาย ความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจ สัดส่วนเอวและสะโพก การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และดัชนีมวลกาย มีผลต่อเรื่องนี้น้อยกว่า
ในบรรดาสาเหตุต่างๆ ของการเสียชีวิต โดยเฉพาะโรคหัวใจ เวลาในการตอบสนองเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดรองจากความดันโลหิต
นักวิจัยเชื่อว่าเวลาในการตอบสนอง ซึ่งเป็นมาตรวัดความเร็วของความสามารถในการประมวลผลข้อมูลของสมอง อาจเป็นตัวบ่งชี้ระดับความสมบูรณ์ของระบบต่างๆ ในร่างกาย แหล่งข้อมูล
นักวิจัยชี้ว่าเวลาในการตอบสนองของคนเราเป็นมาตรวัดระดับความเฉลียวฉลาด ซึ่งในทางกลับกันถือเป็นดัชนีบ่งชี้ความสมบูรณ์ของร่างกาย หรือการประสานงานของอวัยวะส่วนต่างๆ
“ผลการศึกษาของเราบ่งชี้ว่าเวลาในการตอบสนอง ซึ่งบ่งชี้ถึงระดับสติปัญญา เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุ ซึ่งรวมถึงโรคหลอดเลือดหัวใจ
ผลวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารอินเทลลิเจนซ์สัปดาห์นี้ ถือเป็นงานวิจัยชิ้นแรกที่ให้ความสำคัญกับเวลาในการตอบสนองและการเสียชีวิต โดยเปรียบเทียบกับปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น การสูบบุหรี่ และการดื่มสุรา
ผู้จัดทำรายงานระบุว่ามีหลักฐานเพิ่มขึ้นว่าคนที่มีระดับไอคิวสูงมีแนวโน้มมีชีวิตยืนยาวและสุขภาพแข็งแรงกว่า
แม้ข้อเท็จจริงนี้ส่วนหนึ่งสามารถอธิบายได้จากความแตกต่างของรูปแบบการใช้ชีวิต เนื่องจากคนฉลาดมีแนวโน้มน้อยที่จะสูบบุหรี่และน้ำหนักเกิน แต่ก่อนหน้านี้ยังไม่มีคำอธิบายข้อแตกต่างอื่นๆ อีกหลายอย่าง
อาสาสมัครในการศึกษานี้ถูกติดตามผลมาตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษ 1980 โดยมีการวัดเวลาในการตอบสนองด้วยอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เชื่อมต่อกับหน้าจอขนาดเล็กและปุ่มตัวเลขห้าปุ่ม
อาสาสมัครต้องกดปุ่มตัวเลขให้ตรงกับตัวเลขที่ปรากฏบนหน้าจอ โดยนักวิจัยจะวัดระยะเวลาในการตอบสนองและคำนวณค่าเฉลี่ยออกมา
นับจากนั้นจนสิ้นสุดการติดตามผลพบว่าอาสาสมัครเสียชีวิต 1,289 ราย ในจำนวนนี้มีสาเหตุจากโรคหัวใจ 568 ราย
จากนั้น นักวิจัยนำเวลาในการตอบสนองของผู้ที่เสียชีวิตและผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ไปเปรียบเทียบกับพฤติกรรมการสูบบุหรี่ น้ำหนักตัว และปัจจัยอื่นๆ
ผลการศึกษาพบว่าคนที่ตอบสนองช้ามีแนวโน้มเสียชีวิตก่อนวัยด้วยสาเหตุต่างๆ เพิ่มขึ้น 2.6 เท่า การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเดียวที่เชื่อมโยงกับปัจจัยเสี่ยงสำคัญในการเสียชีวิต กล่าวคือทำให้อาสาสมัครมีแนวโน้มเสียชีวิตก่อนวัยเพิ่มขึ้น 3.03 เท่า
การออกกำลังกาย ความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจ สัดส่วนเอวและสะโพก การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และดัชนีมวลกาย มีผลต่อเรื่องนี้น้อยกว่า
ในบรรดาสาเหตุต่างๆ ของการเสียชีวิต โดยเฉพาะโรคหัวใจ เวลาในการตอบสนองเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดรองจากความดันโลหิต
นักวิจัยเชื่อว่าเวลาในการตอบสนอง ซึ่งเป็นมาตรวัดความเร็วของความสามารถในการประมวลผลข้อมูลของสมอง อาจเป็นตัวบ่งชี้ระดับความสมบูรณ์ของระบบต่างๆ ในร่างกาย แหล่งข้อมูล
Friday, February 27, 2009
คุณภาพการอ่าน
คุณภาพการอ่าน ไม่ได้อยู่ที่ความสามารถในการอ่านเร็วเท่านั้น และไม่สำคัญเท่ากับการที่ผู้เรียนสามารถย่อยแนวคิดด้วยความเข้าใจในเนื้อเรื่องและสามารถถ่ายทอดได้อย่างชาญฉลาด
This assumption indirectly evaluates students on the basis of their reading speed, a quality not necessarily as important as the ability to digest concepts and express them intelligently.
อ่านเพิ่มเติมที่ Assigned reading: quality, not quantity
This assumption indirectly evaluates students on the basis of their reading speed, a quality not necessarily as important as the ability to digest concepts and express them intelligently.
อ่านเพิ่มเติมที่ Assigned reading: quality, not quantity
เว็บค้นหาที่เป็นทางเลือกใหม่
เว็บค้นหาที่เป็นทางเลือกใหม่ (Alternative Search Engine) สำหรับผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่ช่วยให้คุณได้ผลลัพธ์ของสิ่งที่ต้องการค้นหาได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น เช่น หารูปก็จะได้รูป หาเพลงก็จะได้ฟังเพลง หาเอกสารก็จะได้ไฟล์ PDF โดยที่ไม่ต้องคลิกสารพัด
ค้นหาเพลง www.songza.com
www.midomi.com
ค้นหารูป www.compfight.com
www.spffy.com
ค้นหาเอกสาร www.data-sheet.net
ค้นหาวิดีโอ www.truveo.com
ค้นหาแบบมีรสชาติ www.viewzi.com
แหล่งข้อมูล
ค้นหาเพลง www.songza.com
www.midomi.com
ค้นหารูป www.compfight.com
www.spffy.com
ค้นหาเอกสาร www.data-sheet.net
ค้นหาวิดีโอ www.truveo.com
ค้นหาแบบมีรสชาติ www.viewzi.com
แหล่งข้อมูล
มูลนิธินวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศจัดอันดับให้ประเทศสิงคโปร์เป็นผู้นำด้านการคิดค้นนวัตกรรม
มูลนิธินวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศจัดอันดับให้ประเทศสิงคโปร์เป็นผู้นำด้านการคิดค้นนวัตกรรมและมีความสามารถในการแข่งขันสูงที่สุดในโลกประจำปี 2009 ดึงเกาหลีใต้ลงมาอยู่อันดับ 5 เหนือกว่ายักษ์ใหญ่สหรัฐอเมริกาที่ถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 6 ขณะที่แดนปลาดิบคว้าอันดับ 9 ในครอง
มูลนิธิ Information Technology and Innovation Foundation หรือ ITIF ประกาศอันดับประเทศผู้นำด้านนวัตกรรมในกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา โดยนอกจากสิงคโปร์ เกาหลีใต้ สหรัฐฯ และญี่ปุ่น ประเทศอื่นๆที่ถูกจัดให้อยู่ใน 10 อันดับแรกของโลกประจำปี 2009 ได้แก่ อันดับที่ 2 สวีเดน, อันดับ 3 ลักเซมเบิร์ก, อันดับ 4 เดนมาร์ก, อันดับที่ 7 ฟินแลนด์ อันดับที่ 8 อังกฤษ และอันดับที่ 10 คือเขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือหรือ North American Free Trade Agreement (NAFTA) ซึ่งคลุมพื้นที่ประเทศแคนนาดา เม็กซิโก และสหรัฐฯ
ประเทศใหญ่ๆในเอเชียแปซิฟิกนั้นถูกจัดอยู่ใน 40 อันดับแรก ได้แก่ ออสเตรเลีย อันดับที่ 19, จีน อันดับที่ 33 ขณะที่อินเดียอยู่ในอันดับที่ 40 โดย 15 ประเทศยุโรปตะวันตกในกลุ่มสหภาพยุโรปหรือที่เรียกรวมว่า EU-15 นั้นถูกจัดเป็นอันดับที่ 18
ITIF เป็นองค์กรเพื่อการพัฒนาไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดซึ่งมีสำนักงานอยู่ในกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา โดยการจัดอันดับประเทศชั้นนำด้านนวัตกรรมที่เกิดขึ้นนั้น ITIF พิจารณาจาก 16 ประเด็นก่อนจะนำคะแนนมาคำนวณเป็นดัชนีเพื่อจัดอันดับ ได้แก่ ความสามารถของทรัพยกรบุคคล ความสามารถในการคิดค้นนวัตกรรม การระดมทุน โครงสร้างระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ นโยบายเศรษฐกิจ และประสิทธิภาพการจัดการระบบเศรษฐกิจในประเทศ
จุดนี้ ITIF ระบุว่า หากรวบรวมดัชนีคะแนนตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ตั้งแต่ปี 1999-2009) ประเทศจีนกลับได้คะแนนสูงสุด เหนือกว่าสหรัฐฯที่คิดเป็นลำดับที่ 40 โดยสิงคโปร์จะอยู่ในอันดับ 2 ตามมาด้วยลิธัวเนีย เอสโทเนีย เดนมาร์ก ลักเซมเบิร์ก สโลวาเนีย รัสเซีย ไซปรัส และญี่ปุ่น โดยประเทศอินเดียได้อันดับที่ 14 เกาหลีใต้อยู่ที่ 17 และออสเตรเลียในอันดับที่ 32
ขณะที่ประเทศกลุ่มยุโรป EU-15 นั้นถูกจัดเป็นอันดับที่ 28 หากคำนวณคะแนนตั้งแต่ปี 1999 เป็นต้นมา
ร็อบ แอดคินสัน (Rob Atkinson) ประธาน ITIF ให้ความเห็นว่า การศึกษาครั้งนี้ยึดหลักพิจารณาความสามารถในการแข่งขันและการคิดค้นนวัตกรรมของแต่ละประเทศโดยใช้ปัจจัยหลายส่วนประกอบกัน ไม่ได้พิจารณาเฉพาะความสามารถด้านเศรษฐกิจหรือนโยบายอย่างเดียว ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญมากในภาวะเศรษฐกิจโลกปัจจุบัน
แอดคินสันบอกว่า แม้ที่ผ่านมาสหรัฐฯจะมีศักยภาพในทุกด้านดีมากหากเทียบกับประเทศอื่นๆในโลก แต่การศึกษาพบว่ามีประเทศมากมายรวมถึงยุโรปที่มีพัฒนาการรวดเร็วกว่าสหรัฐฯ ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ เชื่อว่าประเทศในกลุ่ม EU-15 จะสามารถแซงหน้าสหรัฐฯในแง่ความสามารถด้านการแข่งขันเชิงนวัตกรรมได้ภายในปี 2020 หรืออีก 11 ปีข้างหน้า
ไม่ใช่เพียงยุโรป กลุ่ม ITIF ระบุว่า 39 ประเทศที่เหลือใน 40 อันดับสุดยอดประเทศนวัตกรรมล้วนพัฒนาองค์ความรู้และเศรษฐกิจเพื่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมได้เร็วกว่าสหรัฐฯ แน่นอนว่าผลที่เกิดขึ้นคือ ความสามารถในการแข่งขันเชิงนวัตกรรมของสหรัฐฯกำลังจะถึงช่วงขาลงหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป แหล่งข้อมูล
มูลนิธิ Information Technology and Innovation Foundation หรือ ITIF ประกาศอันดับประเทศผู้นำด้านนวัตกรรมในกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา โดยนอกจากสิงคโปร์ เกาหลีใต้ สหรัฐฯ และญี่ปุ่น ประเทศอื่นๆที่ถูกจัดให้อยู่ใน 10 อันดับแรกของโลกประจำปี 2009 ได้แก่ อันดับที่ 2 สวีเดน, อันดับ 3 ลักเซมเบิร์ก, อันดับ 4 เดนมาร์ก, อันดับที่ 7 ฟินแลนด์ อันดับที่ 8 อังกฤษ และอันดับที่ 10 คือเขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือหรือ North American Free Trade Agreement (NAFTA) ซึ่งคลุมพื้นที่ประเทศแคนนาดา เม็กซิโก และสหรัฐฯ
ประเทศใหญ่ๆในเอเชียแปซิฟิกนั้นถูกจัดอยู่ใน 40 อันดับแรก ได้แก่ ออสเตรเลีย อันดับที่ 19, จีน อันดับที่ 33 ขณะที่อินเดียอยู่ในอันดับที่ 40 โดย 15 ประเทศยุโรปตะวันตกในกลุ่มสหภาพยุโรปหรือที่เรียกรวมว่า EU-15 นั้นถูกจัดเป็นอันดับที่ 18
ITIF เป็นองค์กรเพื่อการพัฒนาไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดซึ่งมีสำนักงานอยู่ในกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา โดยการจัดอันดับประเทศชั้นนำด้านนวัตกรรมที่เกิดขึ้นนั้น ITIF พิจารณาจาก 16 ประเด็นก่อนจะนำคะแนนมาคำนวณเป็นดัชนีเพื่อจัดอันดับ ได้แก่ ความสามารถของทรัพยกรบุคคล ความสามารถในการคิดค้นนวัตกรรม การระดมทุน โครงสร้างระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ นโยบายเศรษฐกิจ และประสิทธิภาพการจัดการระบบเศรษฐกิจในประเทศ
จุดนี้ ITIF ระบุว่า หากรวบรวมดัชนีคะแนนตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ตั้งแต่ปี 1999-2009) ประเทศจีนกลับได้คะแนนสูงสุด เหนือกว่าสหรัฐฯที่คิดเป็นลำดับที่ 40 โดยสิงคโปร์จะอยู่ในอันดับ 2 ตามมาด้วยลิธัวเนีย เอสโทเนีย เดนมาร์ก ลักเซมเบิร์ก สโลวาเนีย รัสเซีย ไซปรัส และญี่ปุ่น โดยประเทศอินเดียได้อันดับที่ 14 เกาหลีใต้อยู่ที่ 17 และออสเตรเลียในอันดับที่ 32
ขณะที่ประเทศกลุ่มยุโรป EU-15 นั้นถูกจัดเป็นอันดับที่ 28 หากคำนวณคะแนนตั้งแต่ปี 1999 เป็นต้นมา
ร็อบ แอดคินสัน (Rob Atkinson) ประธาน ITIF ให้ความเห็นว่า การศึกษาครั้งนี้ยึดหลักพิจารณาความสามารถในการแข่งขันและการคิดค้นนวัตกรรมของแต่ละประเทศโดยใช้ปัจจัยหลายส่วนประกอบกัน ไม่ได้พิจารณาเฉพาะความสามารถด้านเศรษฐกิจหรือนโยบายอย่างเดียว ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญมากในภาวะเศรษฐกิจโลกปัจจุบัน
แอดคินสันบอกว่า แม้ที่ผ่านมาสหรัฐฯจะมีศักยภาพในทุกด้านดีมากหากเทียบกับประเทศอื่นๆในโลก แต่การศึกษาพบว่ามีประเทศมากมายรวมถึงยุโรปที่มีพัฒนาการรวดเร็วกว่าสหรัฐฯ ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ เชื่อว่าประเทศในกลุ่ม EU-15 จะสามารถแซงหน้าสหรัฐฯในแง่ความสามารถด้านการแข่งขันเชิงนวัตกรรมได้ภายในปี 2020 หรืออีก 11 ปีข้างหน้า
ไม่ใช่เพียงยุโรป กลุ่ม ITIF ระบุว่า 39 ประเทศที่เหลือใน 40 อันดับสุดยอดประเทศนวัตกรรมล้วนพัฒนาองค์ความรู้และเศรษฐกิจเพื่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมได้เร็วกว่าสหรัฐฯ แน่นอนว่าผลที่เกิดขึ้นคือ ความสามารถในการแข่งขันเชิงนวัตกรรมของสหรัฐฯกำลังจะถึงช่วงขาลงหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป แหล่งข้อมูล
Wednesday, February 25, 2009
โครงการ "ตู้อักษร ซ่อนปัญญา"
นายสมหมาย ปาริจฉัตต์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.มติชน กล่าวถึงความเป็นมาของโครงการว่า เมื่อวันที่ 9 ม.ค. ซึ่งเป็นวันที่หนังสือพิมพ์มติชนได้ดำเนินกิจการเข้าสู่ปีที่ 32 จึงร่วมมือกับมูลนิธิ ดร.โกวิท วรพิพัฒน์ มูลนิธิ บรรจง พงศ์ศาสตร์ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ และกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม จัดทำโครงการ "ตู้อักษร ซ่อนปัญญา" โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการอ่านหนังสือแก่เยาวชน และสนับสนุนหนังสือที่ดีมีคุณภาพแก่ห้องสมุดโรงเรียนที่ขาดแคลน โดยเน้นโรงเรียนที่เกณฑ์การศึกษาต่ำกว่ามาตรฐาน จำเป็นต้องพัฒนาคุณภาพ รวมทั้งประสาน สพฐ.เพื่อเสาะหาโรงเรียนในระดับมัธยมศึกษาที่มีผลการประเมินต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน เบื้องต้น 100 แห่ง
ทั้งนี้ ภายหลังจากที่มีการประชาสัมพันธ์ให้ผู้มีจิตศรัทธาบริจาคเงิน เพื่อซื้อหนังสือและตู้ โรงเรียนละ 1 ตู้ ตู้ละ 25,000 บาทนั้น ล่าสุดมียอดเมื่อวันที่ 24 ก.พ.พบว่ายอดบริจาคสูงถึง 5,664,898 บาท โดยสามารถบริจาคได้ถึง 226 โรงเรียน โดยเบื้องต้นมีความพร้อมในการส่งมอบหนังสือและตู้แก่โรงเรียน 100 แห่งแรก จึงจัดพิธีส่งมอบในวันนี้ก่อน ส่วนโรงเรียนที่เหลือคาดว่าจะได้รับภายในมีนาคมนี้
ด้านนายจุรินทร์ กล่าวว่า ส่วนตัวรู้สึกดีใจที่เข้ามาเป็นส่วนร่วมในโครงการ โดยเป็นหนึ่งในผู้บริจาค ซึ่งโครงการนี้นอกจากจะช่วยเหลือการศึกษาและส่งเสริมการอ่านแล้ว ยังเป็นการระดมความร่วมมือจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ให้เข้ามามีส่วนร่วมต่อการศึกษา สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ที่ต้องการระดมสรรพกำลังจากทุกภาคส่วนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาด้านการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการส่งเสริมการอ่านนั้น ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญประการหนึ่ง โดยในสัปดาห์หน้าตนจะลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาส่งเสริมการอ่านเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อเป็นการเรียนรู้อย่างแท้จริงไปตลอดชีวิต
"ขอฝากผู้อำนวยการสถานศึกษาทุกท่านที่ได้รับหนังสือพร้อมตู้ที่ไปตั้งในสถานที่ศึกษา ให้บริหารจัดการด้วยวิธีการต่างๆ ที่จะ ทำให้เด็กรักหนังสือ รักที่จะศึกษาหาความรู้และได้รับประโยชน์สูงสุดจาก ตู้อักษร ซ่อนปัญญา นี้ ตามเจตนารมณ์ของผู้บริจาคและเจ้าของโครงการ" นายจุรินทร์ กล่าว
ขณะที่นายวินัย รอดจ่าย รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวว่า สพฐ.รู้สึกซาบซึ้งในโครงการดังกล่าว จากที่รับบริจาคจนได้เกินกว่าเป้าหมาย เพราะทราบว่าโครงการนี้ เบื้องต้นจัดขึ้นเพื่อช่วยเหลือโรงเรียนที่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน 100 โรงเรียนทั่วประเทศ แต่เมื่อประสานมาทาง สพฐ.เพื่อขอรายชื่อโรงเรียนเพิ่มมากขึ้น ทางเราก็ดำเนินการจนแล้วเสร็จ นอกจากนี้ ขอฝากถึงผู้เกี่ยวข้องขอให้นำสิ่งที่ได้รับบริจาคไปนั้น นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อนักเรียนให้มากที่สุด แหล่งข้อมูล
ทั้งนี้ ภายหลังจากที่มีการประชาสัมพันธ์ให้ผู้มีจิตศรัทธาบริจาคเงิน เพื่อซื้อหนังสือและตู้ โรงเรียนละ 1 ตู้ ตู้ละ 25,000 บาทนั้น ล่าสุดมียอดเมื่อวันที่ 24 ก.พ.พบว่ายอดบริจาคสูงถึง 5,664,898 บาท โดยสามารถบริจาคได้ถึง 226 โรงเรียน โดยเบื้องต้นมีความพร้อมในการส่งมอบหนังสือและตู้แก่โรงเรียน 100 แห่งแรก จึงจัดพิธีส่งมอบในวันนี้ก่อน ส่วนโรงเรียนที่เหลือคาดว่าจะได้รับภายในมีนาคมนี้
ด้านนายจุรินทร์ กล่าวว่า ส่วนตัวรู้สึกดีใจที่เข้ามาเป็นส่วนร่วมในโครงการ โดยเป็นหนึ่งในผู้บริจาค ซึ่งโครงการนี้นอกจากจะช่วยเหลือการศึกษาและส่งเสริมการอ่านแล้ว ยังเป็นการระดมความร่วมมือจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ให้เข้ามามีส่วนร่วมต่อการศึกษา สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ที่ต้องการระดมสรรพกำลังจากทุกภาคส่วนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาด้านการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการส่งเสริมการอ่านนั้น ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญประการหนึ่ง โดยในสัปดาห์หน้าตนจะลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาส่งเสริมการอ่านเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อเป็นการเรียนรู้อย่างแท้จริงไปตลอดชีวิต
"ขอฝากผู้อำนวยการสถานศึกษาทุกท่านที่ได้รับหนังสือพร้อมตู้ที่ไปตั้งในสถานที่ศึกษา ให้บริหารจัดการด้วยวิธีการต่างๆ ที่จะ ทำให้เด็กรักหนังสือ รักที่จะศึกษาหาความรู้และได้รับประโยชน์สูงสุดจาก ตู้อักษร ซ่อนปัญญา นี้ ตามเจตนารมณ์ของผู้บริจาคและเจ้าของโครงการ" นายจุรินทร์ กล่าว
ขณะที่นายวินัย รอดจ่าย รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวว่า สพฐ.รู้สึกซาบซึ้งในโครงการดังกล่าว จากที่รับบริจาคจนได้เกินกว่าเป้าหมาย เพราะทราบว่าโครงการนี้ เบื้องต้นจัดขึ้นเพื่อช่วยเหลือโรงเรียนที่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน 100 โรงเรียนทั่วประเทศ แต่เมื่อประสานมาทาง สพฐ.เพื่อขอรายชื่อโรงเรียนเพิ่มมากขึ้น ทางเราก็ดำเนินการจนแล้วเสร็จ นอกจากนี้ ขอฝากถึงผู้เกี่ยวข้องขอให้นำสิ่งที่ได้รับบริจาคไปนั้น นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อนักเรียนให้มากที่สุด แหล่งข้อมูล
Monday, February 23, 2009
การประชุมสุดยอดอาเซียน
Asean Summit, Thailand 2009
ประเทศไทยมีบทบาทเชิงรุกทั้งในแง่การก่อตั้งและการพัฒนาให้อาเซียนเป็นองค์กรที่มีความสำเร็จ เพื่อให้เป็นกลไกขับเคลื่อนที่สำคัญของภูมิภาคนี้ ในส่วนของการก่อตั้ง ไทยเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้งอาเซียนในปี พ.ศ. 2510 ในส่วนของการพัฒนา ไทยยังมีบทบาทที่สำคัญ ดังนี้
มีส่วนร่วมในกระบวนการสันติภาพในกัมพูชา
การจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area) ในปี พ.ศ. 2535
ความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิก หรือ ARF- ASEAN Regional Forum ซึ่งเป็นเวทีที่ใช้พูดคุยปัญหาความมั่นคงในภูมิภาค ในปี พ.ศ. 2537
ความริเริ่มเชียงใหม่และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือเพื่อบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตการณ์ทางการเงินในปี พ.ศ. 2540
การที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 14 ที่ชะอำในปีนี้ จึงเป็นการย้อนรำลึกถึงถิ่นกำเนิดของอาเซียน และเป็นการเริ่มต้นโฉมหน้าใหม่ของอาเซียนหลังจากการมีผลบังคับใช้กฏบัตรอาเซียนตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2551
หัวข้อหลักการประชุมของการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 14 คือ "กฏบัตรอาเซียนสำหรับประชาชนอาเซียน" โดยต้องการให้ประชาชนอาเซียนเป็นศูนย์กลางของอาเซียน ซึ่งหมายถึงต้องการให้ความร่วมมือในกรอบต่างๆ ของอาเซียนอำนวยประโยชน์ให้กับประชาชน ซึ่งประกอบไปด้วยหัวย่อยอีก 3 หัวข้อ ได้แก่
1. มุ่งสู่การสร้างชุมชนที่มีประสิทธิภาพ
ไทยจะใช้โอกาสนี้ในการวางรากฐานในการไปสู่ประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. 2558 เพื่อให้อาเซียนเป็นองค์กรที่มีกติกาของการดำเนินงานอย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพ โดยผลักดันกลไกการทำงานในหน้าที่ใหม่ของอาเซียนภายใต้กฎบัตรอาเซียน รวมทั้งการวางรากฐาน 3 เสาหลักของสภาประชาคมอาเซียนและการจัดตั้งคณะกรรมการผู้แทนถาวรประจำอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา
ยกร่างการจัดตั้งองค์กรสิทธิมนุษยชนของอาเซียนให้เสร็จสิ้นภายในปลายปีนี้ เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือและสามารถนำมาปฏิบัติได้จริงในการปกป้องและส่งเสริมสิทธิมนุษยชนในภูมิภาคนี้
เสริมสร้างความเข้มแข็งของสำนักเลขาธิการอาเซียน ทั้งในแง่งบประมาณและบุคคลากร เพื่อให้อาเซียนสามารถดำเนินการได้อย่างเต็มความสามารถและเต็มความรับผิดชอบ ตามที่กำหนดไว้ในกฎบัตรอาเซียน
สร้างประชาคมอาเซียนที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยนายกรัฐมนตรีและผู้นำอาเซียนจะพบปะพูดคุยกับตัวแทนจากกลุ่มต่างๆ ที่มีความหลากหลาย อาทิ ตัวแทนของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร์ ตัวแทนเยาวชน และตัวแทนจากองค์กรภาคประชาสังคม
2. การเสริมสร้างความแข็งแกร่งของภูมิภาค เพื่อรับมือกับภัยคุกคามของโลกประเทศไทยต้องการเพิ่มความยืดหยุ่นเพื่อรับมือกับภัยคุกคามของโลก โดยการสร้างความเข้มแข็ง
ด้านความมั่นคงของมนุษย์ในมิติต่างๆ ในชุมชนอาเซียนเพื่อให้สามารถลดสิ่งที่กระทบความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน รวมถึงการยกประเด็นของความมั่นคงด้านอาหาร พลังงาน และการบริหารจัดการภัยพิบัติ
3. การเพิ่มบทบาทของอาเซียนในการเป็นศูนย์กลางการพัฒนาในภูมิภาคเสริมสร้างความพยายามในการสร้างชุมชนอาเซียน อาเซียนจะสนับสนุนให้อาเซียนเป็นศูนย์กลาง
ในการวิวัฒนาการโครงสร้างของภูมิภาค การประชุมสุดยอดผู้นำจะเป็นโอกาสอันดีสำหรับอาเซียน ในการแสดงต่อประชาคมโลกว่า อาเซียนยังคงหนักแน่น สมาชิกทั้ง 10 ประเทศเป็นส่วนที่สมบูรณ์ของชุมชนเอเชียตะวันออกที่กว้างขึ้น และยังคงเป็นกลจักรสำคัญของการเติบโตในเศรษฐกิจโลกต่อไป
แหล่งข้อมูล
ประเทศไทยมีบทบาทเชิงรุกทั้งในแง่การก่อตั้งและการพัฒนาให้อาเซียนเป็นองค์กรที่มีความสำเร็จ เพื่อให้เป็นกลไกขับเคลื่อนที่สำคัญของภูมิภาคนี้ ในส่วนของการก่อตั้ง ไทยเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้งอาเซียนในปี พ.ศ. 2510 ในส่วนของการพัฒนา ไทยยังมีบทบาทที่สำคัญ ดังนี้
มีส่วนร่วมในกระบวนการสันติภาพในกัมพูชา
การจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area) ในปี พ.ศ. 2535
ความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิก หรือ ARF- ASEAN Regional Forum ซึ่งเป็นเวทีที่ใช้พูดคุยปัญหาความมั่นคงในภูมิภาค ในปี พ.ศ. 2537
ความริเริ่มเชียงใหม่และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือเพื่อบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตการณ์ทางการเงินในปี พ.ศ. 2540
การที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 14 ที่ชะอำในปีนี้ จึงเป็นการย้อนรำลึกถึงถิ่นกำเนิดของอาเซียน และเป็นการเริ่มต้นโฉมหน้าใหม่ของอาเซียนหลังจากการมีผลบังคับใช้กฏบัตรอาเซียนตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2551
หัวข้อหลักการประชุมของการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 14 คือ "กฏบัตรอาเซียนสำหรับประชาชนอาเซียน" โดยต้องการให้ประชาชนอาเซียนเป็นศูนย์กลางของอาเซียน ซึ่งหมายถึงต้องการให้ความร่วมมือในกรอบต่างๆ ของอาเซียนอำนวยประโยชน์ให้กับประชาชน ซึ่งประกอบไปด้วยหัวย่อยอีก 3 หัวข้อ ได้แก่
1. มุ่งสู่การสร้างชุมชนที่มีประสิทธิภาพ
ไทยจะใช้โอกาสนี้ในการวางรากฐานในการไปสู่ประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. 2558 เพื่อให้อาเซียนเป็นองค์กรที่มีกติกาของการดำเนินงานอย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพ โดยผลักดันกลไกการทำงานในหน้าที่ใหม่ของอาเซียนภายใต้กฎบัตรอาเซียน รวมทั้งการวางรากฐาน 3 เสาหลักของสภาประชาคมอาเซียนและการจัดตั้งคณะกรรมการผู้แทนถาวรประจำอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา
ยกร่างการจัดตั้งองค์กรสิทธิมนุษยชนของอาเซียนให้เสร็จสิ้นภายในปลายปีนี้ เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือและสามารถนำมาปฏิบัติได้จริงในการปกป้องและส่งเสริมสิทธิมนุษยชนในภูมิภาคนี้
เสริมสร้างความเข้มแข็งของสำนักเลขาธิการอาเซียน ทั้งในแง่งบประมาณและบุคคลากร เพื่อให้อาเซียนสามารถดำเนินการได้อย่างเต็มความสามารถและเต็มความรับผิดชอบ ตามที่กำหนดไว้ในกฎบัตรอาเซียน
สร้างประชาคมอาเซียนที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยนายกรัฐมนตรีและผู้นำอาเซียนจะพบปะพูดคุยกับตัวแทนจากกลุ่มต่างๆ ที่มีความหลากหลาย อาทิ ตัวแทนของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร์ ตัวแทนเยาวชน และตัวแทนจากองค์กรภาคประชาสังคม
2. การเสริมสร้างความแข็งแกร่งของภูมิภาค เพื่อรับมือกับภัยคุกคามของโลกประเทศไทยต้องการเพิ่มความยืดหยุ่นเพื่อรับมือกับภัยคุกคามของโลก โดยการสร้างความเข้มแข็ง
ด้านความมั่นคงของมนุษย์ในมิติต่างๆ ในชุมชนอาเซียนเพื่อให้สามารถลดสิ่งที่กระทบความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน รวมถึงการยกประเด็นของความมั่นคงด้านอาหาร พลังงาน และการบริหารจัดการภัยพิบัติ
3. การเพิ่มบทบาทของอาเซียนในการเป็นศูนย์กลางการพัฒนาในภูมิภาคเสริมสร้างความพยายามในการสร้างชุมชนอาเซียน อาเซียนจะสนับสนุนให้อาเซียนเป็นศูนย์กลาง
ในการวิวัฒนาการโครงสร้างของภูมิภาค การประชุมสุดยอดผู้นำจะเป็นโอกาสอันดีสำหรับอาเซียน ในการแสดงต่อประชาคมโลกว่า อาเซียนยังคงหนักแน่น สมาชิกทั้ง 10 ประเทศเป็นส่วนที่สมบูรณ์ของชุมชนเอเชียตะวันออกที่กว้างขึ้น และยังคงเป็นกลจักรสำคัญของการเติบโตในเศรษฐกิจโลกต่อไป
แหล่งข้อมูล
ธนาคารโลกทำวิจัย 150 ประเทศ วัดดัชนีระบบโลจิสติกส์
เนื่องระบบโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพจะเป็นระบบที่ผลักดันให้เกิดขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้สูงขึ้น โดยจะช่วยทางด้านต้นทุนในการประกอบการของธุรกิจให้ลดต่ำลง (Cost Reduction) การตอบสนองลูกค้าได้ถูกต้องและรวดเร็ว (Responsiveness & Reliability) ซึ่งจะทำให้ศักยภาพทางด้านการแข่งขันของประเทศสูงขึ้น สามารถเพิ่มประสิทธิภาพทางด้านเคลื่อนย้ายสินค้าได้รวดเร็ว นอกจากนี้ อุตสาหกรรมกรรมทางด้านโลจิสติกส์ยังก่อให้เกิดการจ้างงาน และช่วยการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นโดยตรง
ดังนั้นการสร้างระบบโลจิสติกส์ให้มีประสิทธิภาพจะเป็นหนทางหนึ่งที่ช่วยให้ภาคธุรกิจของประเทศรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันได้
ทั้งนี้ การประเมินทางด้านประสิทธิภาพโลจิสติกส์ของผู้ให้บริการทางด้านโลจิสติกส์ และผู้ประกอบการ เป็นสิ่งที่จำเป็นในกระบวนการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศ เนื่องจาก จะเป็นการบ่งชี้แนวทางการพัฒนาได้อย่างถูกต้อง ดัชนีชี้วัดทางด้านประสิทธิภาพโลจิสติกส์ (Logistics Performance Index) หรือเรียกย่อๆว่า LPI จะเป็นมาตราฐานสำคัญที่จะช่วยให้การประเมินการชี้วัดประสิทธิภาพในแต่ละด้านของการพัฒนาให้เป็นไปในทางที่มีมาตรฐานและสามารถนำไปพัฒนาข้อด้อยและปัญหาที่ของระบบโลจิสติกส์ในแต่ละด้านได้ตรงจุด เพื่อประโยชน์ที่ได้รับของการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีหน่วยงานใดในประเทศไทยที่กำหนด LPI ของประเทศและ LPI ของผู้ประกอบการทางด้านโลจิสติกส์ในประเทศไว้อย่างชัดเจน แต่ก็มีองค์กรระหว่างประเทศซึ่งได้แก่ ธนาคารโลก (World Bank) ได้จัดทำดัชนีดังกล่าวเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2550 โดยได้คำนึงถึงประเด็นสำคัญต่างๆที่เกี่ยวข้องขีดความสามารถทางด้านการแข่งขันของระบบโลจิสติกส์ของ
ประเทศต่างๆ
ธนาคารโลกได้กำหนดปัจจัยต่างๆในการวัด LPI ไว้ 7 ปัจจัย ได้แก่
1) ประสิทธิภาพในการดำเนินงานพิธีการต่างๆของศุลกากร
2) คุณภาพด้านการขนส่ง ด้านเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ
3) ความง่ายในการจัดการการขนส่งทางเรือระหว่างประเทศ
4) ความสามารถของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ในประเทศ
5) ความสามารถในการสืบค้นสินค้าระหว่างมีการขนส่งทางเรือ
6) ต้นทุนทางด้านโลจิสติกส์ภายในประเทศ และ
7) การส่งสินค้าถึงที่หมายตรงเวลา
ทั้งนี้ธนาคารโลกได้ทำการวิจัยกับประเทศทั้งหมด 150 ประเทศ และได้ทำการจัดลำดับ LPI ของแต่ละประเทศไว้ได้อย่างน่าสนใจ ประเทศที่ได้รับการจัดอันดับว่า เป็นประเทศที่มีศักยภาพทางโลจิสติกส์สูงที่สุดได้แก่ประเทศ
อันดับที่ 1 สิงค์โปร์ โดยหลังจากวัดผลจาก 7 ปัจจัยที่กล่าวข้างต้นแล้ว ประเทศสิงค์โปร์ ได้คะแนนรวม 4.19 จากคะแนนเต็ม 5
อันดับที่ 2 ได้แก่ ประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้คะแนน 4.18
อันดับที่ 3 ได้แก่ ประเทศเยอรมนี คะแนน 4.10
ตามมาด้วยประเทศ สวีเดน ออสเตรีย โดยได้อันดับที่ 4 และ 5 ตามลำดับ
สำหรับประเทศอื่นในทวีปเอเชียที่ได้คะแนน LPI สูงที่สุดได้แก่ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 6
เป็นที่น่าสังเกตว่าประเทศยักษ์ใหญ่ซึ่งถือเป็นมหาอำนาจของโลกอย่าง ประเทศสหรัฐอเมริกากลับได้ LPI อยู่ในอันดับที่ 14 โดยประเทศยักษ์ใหญ่อีกประเทศซึ่งได้แก่ ประเทศจีนได้รับการจัดอันดับ LPI จากธนาคารโลกอยู่ในอันดับที่ 30 แต่ก็ไม่เป็นที่น่าแปลกใจเนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่า ถึงแม้ประเทศจีนจะเป็นประเทศที่มีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก แต่ระบบโลจิสติกส์ของประเทศจีน กลับยังไม่ทันสมัยเท่าที่ควร กิจกรรมทางโลจิสติกส์ส่วนมาก ยังคงเป็นกิจกรรมที่ดำเนินการและควบคุมโดยรัฐบาล
ประเทศที่น่าสนใจอีกประเทศคือมาเลเซีย มาเลเซียถือว่าเป็นประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงกับประเทศไทย โดยที่เราเองก็พยายามที่จะแข่งขันกับมาเลเซียในหลายๆ ด้าน บางครั้งเราอาจจะเห็นหลายหน่วยงานออกมากล่าวว่า ประเทศไทยมีความก้าวหน้าในด้านต่างๆมากว่า มาเลเซีย แต่ถ้าเราดูจาก LPI ที่ธนาคารโลกจัดอันดับมา จะเห็นได้ว่า มาเลเซียอยู่ในอันดับที่ 27 โดยได้คะแนนรวม 3.48
ในขณะที่ ไทยเรารั้งอันดับที่ 31 โดยได้คะแนนรวม 3.31 ดังนั้น ถ้าสรุปแบบง่ายๆจากอันดับที่ธนาคารโลกจัด อย่างน้อยเราก็มีเรื่องประสิทธิภาพทางโลจิสติกส์อย่างหนึงแล้ว ที่ด้อยกว่าประเทศมาเลเซีย คราวนี้ มาดูในรายละเอียดกันซักนิดนะครับ ว่าคะแนนในแต่ละปัจจัยของประเทศไทยเป็นอย่างไรบ้างจากคะแนนเต็ม 5 คะแนน
1. ปัจจัยด้านประสิทธิภาพในการดำเนินงานพิธีการต่างๆของศุลกากรได้ 3.03 คะแนน
2. ปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐานได้ 3.16 คะแนน
3. ปัจจัยด้านการขนส่งทางเรือระหว่างประเทศได้ 3.24 คะแนน
4. ปัจจัยด้านความสามารถของอุตสาหกรรมลอจิสติกส์ภายในประเทศ ได้ 3.31 คะแนน
5. ปัจจัยด้านความสามารถในการสืบค้นสินค้าระหว่างมีการขนส่งทางเรือได้ 3.25 คะแนน
6. ปัจจัยด้านต้นทุนทางด้านโลจิสติกส์ภายในประเทศ ได้ 3.21 คะแนน
7. ปัจจัยด้านการส่งสินค้าถึงที่หมายตรงเวลา ได้ 3.91 คะแนน
จะเห็นได้ว่าประเทศไทยได้คะแนนในปัจจัยข้อแรกน้อยที่สุด ซึ่งเราอาจจะสรุปได้ว่า ธนาคารโลกมองว่า พิธีการด้านศุลกากรของไทยยังมีขั้นตอนที่ยุ่งยาก ซับซ้อน และควรปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานให้มากขึ้น นอกจากนี้ ปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐานและปัจจัยด้านความสามารถในการสืบค้นสินค้า ยังเป็นอีก 2 ปัจจัยที่ธนาคารโลกมองว่าประเทศไทยยังคงต้องพัฒนา โดยต้องมุ่งเน้นพัฒนาทั้งทางด้านการคมนาคม และทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ในส่วนปัจจัยอื่นๆ ที่เหลือถือว่ าประสิทธิภาพของระบบลอจิสติกส์ของประเทศไทยอยู่ในเกณฑ์ที่ใช้ได้ แหล่งข้อมูล
ดังนั้นการสร้างระบบโลจิสติกส์ให้มีประสิทธิภาพจะเป็นหนทางหนึ่งที่ช่วยให้ภาคธุรกิจของประเทศรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันได้
ทั้งนี้ การประเมินทางด้านประสิทธิภาพโลจิสติกส์ของผู้ให้บริการทางด้านโลจิสติกส์ และผู้ประกอบการ เป็นสิ่งที่จำเป็นในกระบวนการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศ เนื่องจาก จะเป็นการบ่งชี้แนวทางการพัฒนาได้อย่างถูกต้อง ดัชนีชี้วัดทางด้านประสิทธิภาพโลจิสติกส์ (Logistics Performance Index) หรือเรียกย่อๆว่า LPI จะเป็นมาตราฐานสำคัญที่จะช่วยให้การประเมินการชี้วัดประสิทธิภาพในแต่ละด้านของการพัฒนาให้เป็นไปในทางที่มีมาตรฐานและสามารถนำไปพัฒนาข้อด้อยและปัญหาที่ของระบบโลจิสติกส์ในแต่ละด้านได้ตรงจุด เพื่อประโยชน์ที่ได้รับของการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีหน่วยงานใดในประเทศไทยที่กำหนด LPI ของประเทศและ LPI ของผู้ประกอบการทางด้านโลจิสติกส์ในประเทศไว้อย่างชัดเจน แต่ก็มีองค์กรระหว่างประเทศซึ่งได้แก่ ธนาคารโลก (World Bank) ได้จัดทำดัชนีดังกล่าวเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2550 โดยได้คำนึงถึงประเด็นสำคัญต่างๆที่เกี่ยวข้องขีดความสามารถทางด้านการแข่งขันของระบบโลจิสติกส์ของ
ประเทศต่างๆ
ธนาคารโลกได้กำหนดปัจจัยต่างๆในการวัด LPI ไว้ 7 ปัจจัย ได้แก่
1) ประสิทธิภาพในการดำเนินงานพิธีการต่างๆของศุลกากร
2) คุณภาพด้านการขนส่ง ด้านเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ
3) ความง่ายในการจัดการการขนส่งทางเรือระหว่างประเทศ
4) ความสามารถของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ในประเทศ
5) ความสามารถในการสืบค้นสินค้าระหว่างมีการขนส่งทางเรือ
6) ต้นทุนทางด้านโลจิสติกส์ภายในประเทศ และ
7) การส่งสินค้าถึงที่หมายตรงเวลา
ทั้งนี้ธนาคารโลกได้ทำการวิจัยกับประเทศทั้งหมด 150 ประเทศ และได้ทำการจัดลำดับ LPI ของแต่ละประเทศไว้ได้อย่างน่าสนใจ ประเทศที่ได้รับการจัดอันดับว่า เป็นประเทศที่มีศักยภาพทางโลจิสติกส์สูงที่สุดได้แก่ประเทศ
อันดับที่ 1 สิงค์โปร์ โดยหลังจากวัดผลจาก 7 ปัจจัยที่กล่าวข้างต้นแล้ว ประเทศสิงค์โปร์ ได้คะแนนรวม 4.19 จากคะแนนเต็ม 5
อันดับที่ 2 ได้แก่ ประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้คะแนน 4.18
อันดับที่ 3 ได้แก่ ประเทศเยอรมนี คะแนน 4.10
ตามมาด้วยประเทศ สวีเดน ออสเตรีย โดยได้อันดับที่ 4 และ 5 ตามลำดับ
สำหรับประเทศอื่นในทวีปเอเชียที่ได้คะแนน LPI สูงที่สุดได้แก่ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 6
เป็นที่น่าสังเกตว่าประเทศยักษ์ใหญ่ซึ่งถือเป็นมหาอำนาจของโลกอย่าง ประเทศสหรัฐอเมริกากลับได้ LPI อยู่ในอันดับที่ 14 โดยประเทศยักษ์ใหญ่อีกประเทศซึ่งได้แก่ ประเทศจีนได้รับการจัดอันดับ LPI จากธนาคารโลกอยู่ในอันดับที่ 30 แต่ก็ไม่เป็นที่น่าแปลกใจเนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่า ถึงแม้ประเทศจีนจะเป็นประเทศที่มีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก แต่ระบบโลจิสติกส์ของประเทศจีน กลับยังไม่ทันสมัยเท่าที่ควร กิจกรรมทางโลจิสติกส์ส่วนมาก ยังคงเป็นกิจกรรมที่ดำเนินการและควบคุมโดยรัฐบาล
ประเทศที่น่าสนใจอีกประเทศคือมาเลเซีย มาเลเซียถือว่าเป็นประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงกับประเทศไทย โดยที่เราเองก็พยายามที่จะแข่งขันกับมาเลเซียในหลายๆ ด้าน บางครั้งเราอาจจะเห็นหลายหน่วยงานออกมากล่าวว่า ประเทศไทยมีความก้าวหน้าในด้านต่างๆมากว่า มาเลเซีย แต่ถ้าเราดูจาก LPI ที่ธนาคารโลกจัดอันดับมา จะเห็นได้ว่า มาเลเซียอยู่ในอันดับที่ 27 โดยได้คะแนนรวม 3.48
ในขณะที่ ไทยเรารั้งอันดับที่ 31 โดยได้คะแนนรวม 3.31 ดังนั้น ถ้าสรุปแบบง่ายๆจากอันดับที่ธนาคารโลกจัด อย่างน้อยเราก็มีเรื่องประสิทธิภาพทางโลจิสติกส์อย่างหนึงแล้ว ที่ด้อยกว่าประเทศมาเลเซีย คราวนี้ มาดูในรายละเอียดกันซักนิดนะครับ ว่าคะแนนในแต่ละปัจจัยของประเทศไทยเป็นอย่างไรบ้างจากคะแนนเต็ม 5 คะแนน
1. ปัจจัยด้านประสิทธิภาพในการดำเนินงานพิธีการต่างๆของศุลกากรได้ 3.03 คะแนน
2. ปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐานได้ 3.16 คะแนน
3. ปัจจัยด้านการขนส่งทางเรือระหว่างประเทศได้ 3.24 คะแนน
4. ปัจจัยด้านความสามารถของอุตสาหกรรมลอจิสติกส์ภายในประเทศ ได้ 3.31 คะแนน
5. ปัจจัยด้านความสามารถในการสืบค้นสินค้าระหว่างมีการขนส่งทางเรือได้ 3.25 คะแนน
6. ปัจจัยด้านต้นทุนทางด้านโลจิสติกส์ภายในประเทศ ได้ 3.21 คะแนน
7. ปัจจัยด้านการส่งสินค้าถึงที่หมายตรงเวลา ได้ 3.91 คะแนน
จะเห็นได้ว่าประเทศไทยได้คะแนนในปัจจัยข้อแรกน้อยที่สุด ซึ่งเราอาจจะสรุปได้ว่า ธนาคารโลกมองว่า พิธีการด้านศุลกากรของไทยยังมีขั้นตอนที่ยุ่งยาก ซับซ้อน และควรปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานให้มากขึ้น นอกจากนี้ ปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐานและปัจจัยด้านความสามารถในการสืบค้นสินค้า ยังเป็นอีก 2 ปัจจัยที่ธนาคารโลกมองว่าประเทศไทยยังคงต้องพัฒนา โดยต้องมุ่งเน้นพัฒนาทั้งทางด้านการคมนาคม และทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ในส่วนปัจจัยอื่นๆ ที่เหลือถือว่ าประสิทธิภาพของระบบลอจิสติกส์ของประเทศไทยอยู่ในเกณฑ์ที่ใช้ได้ แหล่งข้อมูล
Sunday, February 08, 2009
3 จีเมืองไทยยังคงต้องรอ
3 จีเมืองไทยยังคงต้องรอ 8 กุมภาพันธ์ 2552 กองบรรณาธิการไทยโพสต์
เริ่มมีการส่งสัญญาณที่ดีออกมาในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมบ้างแล้ว เมื่อการประชุมของคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กทช.ในวันที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา
ที่ได้ใช้ระยะเวลาการประชุมถึง 8 ชั่วโมง จนในที่สุดก็ได้เคาะเลือกใช้วิธีการประกวดราคา (ออกชั่น) ในการจัดสรรคลื่นความถี่ใหม่ย่าน 2.1 กิ๊กกะเฮิรตซ์ จำนวน 45 เมกะเฮิรตซ์ เพื่อนำมาพัฒนาการให้บริการ 3 จี เพราะเห็นว่าเป็นวิธีที่มีความโปร่งใสมากที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับรูปแบบอื่นอย่างมาก่อนได้ก่อน (First com e first serve) เลือกจากผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมแล้วยื่นประกวดราคา (Beauty Contest) และไฮบริด หรือวิธีผสมระหว่างบิวตี้ คอนเทสต์ และออกชั่น
นายเศรษฐพร คูศรีพิทักษ์ กรรมการ กทช.กล่าวว่า กทช. จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่าจะใช้วิธีไหน เพราะแต่ละรูปแบบมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป เช่น บิวตี้ คอนเทสต์ มีข้อเสียคือ อาจถูกมองว่าลำเอียงหรือคอรัปชั่นได้ง่าย ขณะที่การประมูลนั้นจะเป็นการตีราคาคลื่นเองของผู้ขอใบอนุญาต ซึ่งหากคลื่นมีราคาแพง จะเป็นเหตุให้ผู้ใช้บริการต้องรับภาระค่าบริการที่จะเกิดขึ้นภายหลัง ทั้งนี้ หลังจากออกหลักเกณฑ์ต่างๆ แล้ว จะต้องผ่านขั้นตอนการประชาพิจารณ์ และคาดว่าจะสามารถออกใบอนุญาตได้ภายในไตรมาส 3 ของปีนี้
ทั้งนี้ เบื้องต้น กทช.จะมอบใบอนุญาต 3 จีเป็นระยะเวลา 10 ปีขึ้นไป โดยผู้เข้าร่วมประมูลจะต้องมีคุณสมบัติเป็นนิติบุคคลไทยตาม พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม 2544 ได้กำหนดไว้ แต่รายละเอียดในส่วนต่างๆ เช่น จำนวนผู้ที่จะได้รับใบอนุญาต จากที่คาดว่าจะสามารถให้ใบอนุญาต 4 ราย คือ รายใหม่ 1 ราย ส่วนที่เหลือเป็นรายเก่า โดยแบ่งคลื่นที่มีอยู่ 45 เมกะเฮิรตซ์ เป็น 10 เมกะเฮิรตซ์ 3 ราย และ 15 เมกะเฮิรตซ์อีก 1 ราย รวมไปถึงการพิจารณาระยะเวลาของใบอนุญาตให้ชัดเจนมากกว่านี้ แผนการลงทุนของผู้รับใบอนุญาต วีธีการชำระหนี้การประมูล รวมถึงต้นทุนการกำกับดูแล ที่ขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปออกมา ซึ่งสำนักงาน กทช.คาดใช้เวลา 2-3 สัปดาห์ข้อมูลดังกล่าวน่าจะครบถ้วน
นอกจากนี้ ขณะนี้สำนักงาน กทช.ยังอยู่ระหว่างการศึกษาร่วมกันกับมหาวิทยาลัยฟลอริดา สหรัฐอเมริกา และมหาวิทยาลัยชาร์มเมอร์ สวีเดน เพื่อกำหนดราคาขั้นต่ำของคลื่น 3 จี ซึ่งเรื่องนี้ นายสุรนันท์ วงศ์วิทยกำจร เลขาธิการ กทช.กล่าวว่า ที่ประชุมบอร์ด กทช.มีมติเป็นเอกฉันท์เลือกวิธีจัดสรรคลื่นความถี่ผ่านการประมูล ซึ่งต้องมีการกำหนดราคากลางไม่สูงหรือต่ำไป เพราะจากการศึกษาการกำหนดราคาที่สูงเกินไป หากไม่สามารถปฏิบัติได้ ผู้ประกอบการก็ต้องคืนใบอนุญาต ผลกระทบก็จะตกอยู่กับผู้บริโภค ในขณะที่ถ้าราคาใบอนุญาตมีราคาต่ำเกินไป รัฐจะเป็นฝ่ายเสียประโยชน์ และตกเป็นข้อครหา ดังนั้น กทช.ต้องคำนวณจากหลายตัวแปร
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาจากการตัดสินใจจัดสรรคลื่นความถี่ 2.1 กิ๊กกะเฮิรตซ์ล่าช้าได้ส่งผลให้ผู้ประกอบการมือถืออย่าง บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส ได้นำร่องทดลองบริการ 3 จีบนคลื่นความถี่เดิมย่าน 900 เมกะเฮิรตซ์ในจังหวัดเชียงใหม่และสยามพารากอน ในขณะที่บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค และบริษัท ทรูมูฟ จำกัด ก็เตรียมพัฒนาให้บริการ 3 จีบนคลื่น 850 เมกะเฮิรตซ์เช่นกัน ระหว่างรอ 3 จีบนคลื่นใหม่
ในที่สุดทุกคนยังคงต้องนอนรอ 3 จีคลื่นใหม่อยู่ดี ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับว่า กทช.จะสามารถสรุปรายละเอียดและกรอบต่างๆ ได้เร็วหรือไม่ โดยเฉพาะเอกชนที่คาดหวังไม่น้อย ต่างผิดหวังและบ่นกันอุบถึงผลสรุปของ กทช.ที่ถึงแม้จะมีข้อสรุปโดยเลือกใช้วิธีประมูลก็ตาม แต่รายละเอียดส่วนต่างๆ ก็ยังไม่ชัดเจนทั้งๆ ที่ใช้ระยะเวลาในการศึกษาเรื่องดังกล่าวมาไม่น้อย เพราะถ้าพูดถึงข้อดีของการมีบริการ 3 จีในขณะนี้ นอกจากเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศผ่านการลงทุนในโครงการเมกะโปรเจ็กต์แล้ว ยังส่งผลดีต่อผู้ใช้บริการที่อยู่ต่างจังหวัดที่สามารถใช้อินเทอร์เน็ตบนมือถือได้ ในระหว่างที่อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (บรอดแบนด์) ยังไม่ครอบคลุมทั่วประเทศ ก็ยังเป็นการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมในเมืองและสังคมต่างจังหวัด
สุดท้าย 3 จีจะเป็นไปตามแผนที่ กทช.กำหนดไว้หรือไม่ คือ มอบใบอนุญาตได้ภายในปีนี้ และสามารถให้บริการ 3 จีได้ประมาณปี 2553 คงส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมโทรคมนาคมไม่น้อย ประกอบกับถ้า กทช.สามารถพิจารณาเรื่องหลักเกณฑ์ในการออกใบอนุญาตบริการอินเทอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูง (ไวแมกซ์) และเลขหมายเดียวทุกระบบ (นัมเบอร์พอร์ทิบิลิตี้) เพื่อให้ทันในปีนี้เช่นกัน คงส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมโทรคมนาคมไม่น้อย และคงเป็นจุดเปลี่ยนให้กับอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไอทีให้กระเตื้องขึ้นอีกรอบหลังจากหยุดนิ่งมานาน.
เริ่มมีการส่งสัญญาณที่ดีออกมาในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมบ้างแล้ว เมื่อการประชุมของคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กทช.ในวันที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา
ที่ได้ใช้ระยะเวลาการประชุมถึง 8 ชั่วโมง จนในที่สุดก็ได้เคาะเลือกใช้วิธีการประกวดราคา (ออกชั่น) ในการจัดสรรคลื่นความถี่ใหม่ย่าน 2.1 กิ๊กกะเฮิรตซ์ จำนวน 45 เมกะเฮิรตซ์ เพื่อนำมาพัฒนาการให้บริการ 3 จี เพราะเห็นว่าเป็นวิธีที่มีความโปร่งใสมากที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับรูปแบบอื่นอย่างมาก่อนได้ก่อน (First com e first serve) เลือกจากผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมแล้วยื่นประกวดราคา (Beauty Contest) และไฮบริด หรือวิธีผสมระหว่างบิวตี้ คอนเทสต์ และออกชั่น
นายเศรษฐพร คูศรีพิทักษ์ กรรมการ กทช.กล่าวว่า กทช. จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่าจะใช้วิธีไหน เพราะแต่ละรูปแบบมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป เช่น บิวตี้ คอนเทสต์ มีข้อเสียคือ อาจถูกมองว่าลำเอียงหรือคอรัปชั่นได้ง่าย ขณะที่การประมูลนั้นจะเป็นการตีราคาคลื่นเองของผู้ขอใบอนุญาต ซึ่งหากคลื่นมีราคาแพง จะเป็นเหตุให้ผู้ใช้บริการต้องรับภาระค่าบริการที่จะเกิดขึ้นภายหลัง ทั้งนี้ หลังจากออกหลักเกณฑ์ต่างๆ แล้ว จะต้องผ่านขั้นตอนการประชาพิจารณ์ และคาดว่าจะสามารถออกใบอนุญาตได้ภายในไตรมาส 3 ของปีนี้
ทั้งนี้ เบื้องต้น กทช.จะมอบใบอนุญาต 3 จีเป็นระยะเวลา 10 ปีขึ้นไป โดยผู้เข้าร่วมประมูลจะต้องมีคุณสมบัติเป็นนิติบุคคลไทยตาม พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม 2544 ได้กำหนดไว้ แต่รายละเอียดในส่วนต่างๆ เช่น จำนวนผู้ที่จะได้รับใบอนุญาต จากที่คาดว่าจะสามารถให้ใบอนุญาต 4 ราย คือ รายใหม่ 1 ราย ส่วนที่เหลือเป็นรายเก่า โดยแบ่งคลื่นที่มีอยู่ 45 เมกะเฮิรตซ์ เป็น 10 เมกะเฮิรตซ์ 3 ราย และ 15 เมกะเฮิรตซ์อีก 1 ราย รวมไปถึงการพิจารณาระยะเวลาของใบอนุญาตให้ชัดเจนมากกว่านี้ แผนการลงทุนของผู้รับใบอนุญาต วีธีการชำระหนี้การประมูล รวมถึงต้นทุนการกำกับดูแล ที่ขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปออกมา ซึ่งสำนักงาน กทช.คาดใช้เวลา 2-3 สัปดาห์ข้อมูลดังกล่าวน่าจะครบถ้วน
นอกจากนี้ ขณะนี้สำนักงาน กทช.ยังอยู่ระหว่างการศึกษาร่วมกันกับมหาวิทยาลัยฟลอริดา สหรัฐอเมริกา และมหาวิทยาลัยชาร์มเมอร์ สวีเดน เพื่อกำหนดราคาขั้นต่ำของคลื่น 3 จี ซึ่งเรื่องนี้ นายสุรนันท์ วงศ์วิทยกำจร เลขาธิการ กทช.กล่าวว่า ที่ประชุมบอร์ด กทช.มีมติเป็นเอกฉันท์เลือกวิธีจัดสรรคลื่นความถี่ผ่านการประมูล ซึ่งต้องมีการกำหนดราคากลางไม่สูงหรือต่ำไป เพราะจากการศึกษาการกำหนดราคาที่สูงเกินไป หากไม่สามารถปฏิบัติได้ ผู้ประกอบการก็ต้องคืนใบอนุญาต ผลกระทบก็จะตกอยู่กับผู้บริโภค ในขณะที่ถ้าราคาใบอนุญาตมีราคาต่ำเกินไป รัฐจะเป็นฝ่ายเสียประโยชน์ และตกเป็นข้อครหา ดังนั้น กทช.ต้องคำนวณจากหลายตัวแปร
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาจากการตัดสินใจจัดสรรคลื่นความถี่ 2.1 กิ๊กกะเฮิรตซ์ล่าช้าได้ส่งผลให้ผู้ประกอบการมือถืออย่าง บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส ได้นำร่องทดลองบริการ 3 จีบนคลื่นความถี่เดิมย่าน 900 เมกะเฮิรตซ์ในจังหวัดเชียงใหม่และสยามพารากอน ในขณะที่บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค และบริษัท ทรูมูฟ จำกัด ก็เตรียมพัฒนาให้บริการ 3 จีบนคลื่น 850 เมกะเฮิรตซ์เช่นกัน ระหว่างรอ 3 จีบนคลื่นใหม่
ในที่สุดทุกคนยังคงต้องนอนรอ 3 จีคลื่นใหม่อยู่ดี ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับว่า กทช.จะสามารถสรุปรายละเอียดและกรอบต่างๆ ได้เร็วหรือไม่ โดยเฉพาะเอกชนที่คาดหวังไม่น้อย ต่างผิดหวังและบ่นกันอุบถึงผลสรุปของ กทช.ที่ถึงแม้จะมีข้อสรุปโดยเลือกใช้วิธีประมูลก็ตาม แต่รายละเอียดส่วนต่างๆ ก็ยังไม่ชัดเจนทั้งๆ ที่ใช้ระยะเวลาในการศึกษาเรื่องดังกล่าวมาไม่น้อย เพราะถ้าพูดถึงข้อดีของการมีบริการ 3 จีในขณะนี้ นอกจากเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศผ่านการลงทุนในโครงการเมกะโปรเจ็กต์แล้ว ยังส่งผลดีต่อผู้ใช้บริการที่อยู่ต่างจังหวัดที่สามารถใช้อินเทอร์เน็ตบนมือถือได้ ในระหว่างที่อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (บรอดแบนด์) ยังไม่ครอบคลุมทั่วประเทศ ก็ยังเป็นการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมในเมืองและสังคมต่างจังหวัด
สุดท้าย 3 จีจะเป็นไปตามแผนที่ กทช.กำหนดไว้หรือไม่ คือ มอบใบอนุญาตได้ภายในปีนี้ และสามารถให้บริการ 3 จีได้ประมาณปี 2553 คงส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมโทรคมนาคมไม่น้อย ประกอบกับถ้า กทช.สามารถพิจารณาเรื่องหลักเกณฑ์ในการออกใบอนุญาตบริการอินเทอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูง (ไวแมกซ์) และเลขหมายเดียวทุกระบบ (นัมเบอร์พอร์ทิบิลิตี้) เพื่อให้ทันในปีนี้เช่นกัน คงส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมโทรคมนาคมไม่น้อย และคงเป็นจุดเปลี่ยนให้กับอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไอทีให้กระเตื้องขึ้นอีกรอบหลังจากหยุดนิ่งมานาน.
Subscribe to:
Posts (Atom)