รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชี้ถึงตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดเดือนพฤษภาคม 2551
มีประเด็นสำคัญดังสรุปได้ดังต่อไปนี้
การบริโภคภาคเอกชนในเดือนพ.ค. 51 ขยายตัวร้อยละ 6.3 (YoY) หลังจากที่ขยายตัวร้อยละ 7.9 ในเดือนเม.ย. โดยเป็นผลจากการชะลอลงในรายการหลัก ได้แก่ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 8.4 จาก 12.2) และการนำเข้าสินค้าเพื่อการบริโภค (เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 17.5 จาก 29.1) โดยเฉพาะสินค้าที่ไม่คงทน
ในขณะที่ ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์หดตัวลงมากขึ้นในเดือนพ.ค. (หดตัวร้อยละ 4.3 จากที่หดตัวเพียงร้อยละ 1.7) ซึ่งสวนทางกับปริมาณการบริโภคพลังงานทดแทน เช่น LPG และ NGV ที่เร่งตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนด้านรายได้เกษตรกรขยายตัวต่อเนื่องอีกร้อยละ 62.8 ในเดือนพ.ค. โดยดัชนีราคาพืชผลขยายตัวร้อยละ 28.0 (เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 19.8 ในเดือนก่อนหน้า) ในขณะที่ดัชนีผลผลิตพืชผลขยายตัวร้อยละ 27.2 (เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 16.3 ในเดือนก่อนหน้า) นำโดยผลผลิตข้าวนาปรัง
การลงทุนภาคเอกชน เดือนพ.ค. ขยายตัวร้อยละ 5.0 ลดลงจากร้อยละ 5.4 ในเดือนเม.ย. โดยเป็นผลจากการชะลอลงของการนำเข้าสินค้าทุน (เพิ่มเพียงร้อยละ 5.4 จาก 17.7) และยอดขายรถยนต์เชิงพาณิชย์ (หดตัวร้อยละ 3.8 จากที่ขยายตัวร้อยละ 8.2) ซึ่งได้รับผลกระทบจากการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องของราคาพลังงาน
ขณะที่ มูลค่าโครงการขอรับส่งเสริมการลงทุนหดตัวลงร้อยละ 19.7 ในเดือนพ.ค. จากที่ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 45.1 ในเดือนเม.ย. การผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ 10.5 ในเดือนพ.ค. เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 9.9 ในเดือนเม.ย. โดยเป็นผลมาจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมที่เน้นตลาดส่งออกเป็นหลัก โดยเฉพาะ Hard Disk Drive (ขยายตัวร้อยละ 42.0 จาก 31.9) ส่วนอัตราการใช้กำลังการผลิตนั้น ปรับตัวขึ้นสู่ระดับร้อยละ 74.4 ในเดือนพ.ค.จาก 69.2 ในเดือนเม.ย.
ภาคต่างประเทศ การส่งออกขยายตัวร้อยละ 22.1 (YoY) ในเดือนพ.ค. ชะลอลงจากร้อยละ 28.7 ในเดือนเม.ย. โดยเป็นผลจากการขยายตัวทางด้านราคาเป็นสำคัญ ทั้งนี้ การส่งออกในหมวดสินค้าอุตสาหกรรมและสินค้าใช้เทคโนโลยีสูงขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง (ร้อยละ 21.2 และร้อยละ 19.0 จากร้อยละ 26.0 และร้อยละ 25.1 ตามลำดับ) อย่างไรก็ตาม การส่งออกในหมวดเกษตรยังคงขยายตัวได้ดี โดยขยายตัวร้อยละ 57.8 ในเดือนพ.ค. ซึ่งใกล้เคียงกับเดือนก่อนหน้า
การส่งออกในหมวดสินค้าที่เน้นใช้แรงงานขยายตัวสูงถึงร้อยละ 39.2 ตามการเพิ่มขึ้นของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ ส่วนการนำเข้าในเดือนพ.ค. ขยายตัวร้อยละ 15.7 ลดลงจากที่ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 42.1 ในเดือนเม.ย. โดยเป็นผลมาจากการหดตัวของปริมาณการนำเข้าเป็นสำคัญ ทั้งนี้ จากผลของการบันทึกข้อมูลเหลื่อมเดือนทำให้ปริมาณการนำเข้าในหมวดเชื้อเพลิงและน้ำมันหล่อลื่นหดตัวลงถึงร้อยละ 30.0 ในเดือนพ.ค. จากที่ขยายตัวร้อยละ 26.9 ในเดือนก่อนหน้า
การชะลอลงอย่างมากของมูลค่าการนำเข้าในทุกหมวด ส่งผลให้ดุลการค้าพลิกกลับมาบันทึกยอดเกินดุลที่ 1.27 พันล้านดอลลาร์ฯ ในเดือนพ.ค. หลังจากที่ขาดดุลที่ระดับ 1.77 พันล้านดอลลาร์ฯ ในเดือนเม.ย. ในขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดพลิกกลับมาบันทึกยอดเกินดุลเช่นกันที่ 631 ล้านดอลลาร์ฯ ในเดือนพ.ค. หลังจากที่ขาดดุล 1.66 พันล้านดอลลาร์ฯ ในเดือนก่อนหน้า
จากตัวเลขต่าง ๆ ดังกล่าว สะท้อนให้เห็นภาพเศรษฐกิจไทยที่เริ่มสะท้อนสัญญาณการชะลอตัวเมื่อเข้าสู่ไตรมาส 2/2551 ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2/2551 อาจมีอัตราการขยายตัวประมาณร้อยละ 5.0 ซึ่งชะลอลงหลังจากที่ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 6.0 ในไตรมาส 1/2551
โดยประเด็นความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยที่ต้องติดตามในระยะถัดไปประกอบด้วย การปรับตัวสูงขึ้นของราคาพลังงาน การทะยานขึ้นของอัตราเงินเฟ้อซึ่งอาจเป็นเลขสองหลักบางเดือนในไตรมาสที่ 3/2551 ตลอดจนความไม่แน่นอนทางการเมืองที่อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของภาคเอกชน อย่างไรก็ตาม แรงกดดันเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในระยะถัดไป อาจสร้างข้อจำกัดให้การดำเนินนโยบายการเงินของธปท.ต้องโน้มเอียงไปในเชิงคุมเข้มมากขึ้น แหล่งข้อมูล
Monday, June 30, 2008
Sunday, June 29, 2008
ปตท.ยันแอลพีจีมีพอ
เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน นายชัยวัฒน์ ชูฤทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ชี้แจงว่า จากปัญหาแอลพีจีในสถานีบริการเกิดการขาดแคลนและบางสถานีบริการขึ้นป้ายแอลพีจีหมดนั้น ปตท. ขอยืนยันว่าได้มีการจ่ายแอลพีจีให้แก่ลูกค้าของ ปตท. และ ผู้ค้ามาตรา 7 ตามที่กรมธุรกิจพลังงานเป็นผู้กำหนดในปริมาณปกติเสมอมา โดยก่อนหน้านี้ 1-2 วัน อาจมีปัญหาการขนส่งแอลพีจี จากคลังก๊าซเขาบ่อยาที่ศรีราชามายังคลังก๊าซบางจากล่าช้า จากความแออัดของท่าเรือ เนื่องจากเป็นท่าเรือขนส่งทั้งภายในและต่างประเทศหลากหลายผลิตภัณฑ์ร่วมกัน แต่ปัจจุบันปัญหาดังกล่าวได้มีการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว จึงทำให้ปริมาณสำรองและความสามารถในการจ่ายก๊าซอยู่ในระดับปกติ อีกทั้งในสัปดาห์หน้าแอลพีจีที่นำเข้าจากต่างประเทศจะมาเพิ่มเติมอีก 22,000 ตัน และคาดว่าจะมีการทยอยนำเข้าตลอดทั้งปี ซึ่งจะทำให้มีปริมาณแอลพีจีจำหน่ายในประเทศอย่างเพียงพอ
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่าปัจจุบันการใช้แอลพีจีในประเทศเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจากประมาณ 3 ล้านตัน ในปีที่ผ่านมา เป็น 3.5 ล้านตันในปีนี้ หรือเพิ่มขึ้น 14.2% โดยส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจากการใช้ในรถยนต์ ถึง 22.7% สาเหตุจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นตามภาวะตลาดโลก และประชาชนหันมาใช้แอลพีจีทดแทนเพิ่มขึ้นสูงเกินกว่าปกติ โดยปัจจุบันราคาในตลาดโลกอยู่ที่ 905 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน แต่รัฐฯกำหนดให้โรงกลั่นและโรงแยกก๊าซ ในประเทศขายเพียง 332 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ซึ่งเท่ากับผู้ผลิตรับภาระอยู่ประมาณเกือบ 600 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน และหากโครงสร้างราคายังคงเป็นเช่นในปัจจุบัน ในอนาคตก็อาจทำให้เกิดปัญหาถังเก็บจ่ายรองรับการนำเข้าของ ปตท. ที่มีอยู่ไม่เพียงพอ
ทั้งนี้ ปตท. มีสถานีบริการแอลพีจีเพียง 36 แห่ง จาก 236 แห่ง คิดเป็นสัดส่วนเพียง 15% ขณะที่มีส่วนแบ่งตลาดในภาคขนส่ง 7% ที่เหลือเป็นของผู้ค้ามาตรา 7 อื่น และขอยืนยันว่าปัญหาแอลพีจีที่ขาดแคลนนี้ ปตท. ไม่ได้กักตุนแหล่งข้อมูล
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่าปัจจุบันการใช้แอลพีจีในประเทศเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจากประมาณ 3 ล้านตัน ในปีที่ผ่านมา เป็น 3.5 ล้านตันในปีนี้ หรือเพิ่มขึ้น 14.2% โดยส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจากการใช้ในรถยนต์ ถึง 22.7% สาเหตุจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นตามภาวะตลาดโลก และประชาชนหันมาใช้แอลพีจีทดแทนเพิ่มขึ้นสูงเกินกว่าปกติ โดยปัจจุบันราคาในตลาดโลกอยู่ที่ 905 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน แต่รัฐฯกำหนดให้โรงกลั่นและโรงแยกก๊าซ ในประเทศขายเพียง 332 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ซึ่งเท่ากับผู้ผลิตรับภาระอยู่ประมาณเกือบ 600 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน และหากโครงสร้างราคายังคงเป็นเช่นในปัจจุบัน ในอนาคตก็อาจทำให้เกิดปัญหาถังเก็บจ่ายรองรับการนำเข้าของ ปตท. ที่มีอยู่ไม่เพียงพอ
ทั้งนี้ ปตท. มีสถานีบริการแอลพีจีเพียง 36 แห่ง จาก 236 แห่ง คิดเป็นสัดส่วนเพียง 15% ขณะที่มีส่วนแบ่งตลาดในภาคขนส่ง 7% ที่เหลือเป็นของผู้ค้ามาตรา 7 อื่น และขอยืนยันว่าปัญหาแอลพีจีที่ขาดแคลนนี้ ปตท. ไม่ได้กักตุนแหล่งข้อมูล
'กรมวิชาการ' สรุปไม่พบพันธุ์ข้าวจีเอ็มโอ
หลังเจ้าหน้าที่จากสำนักวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ กรมวิชาการเกษตร พร้อมเจ้าหน้าที่กรมการข้าว ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างข้าวในแปลงนาพื้นที่ หมู่ 3-4 ต.โคกช้าง อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา ตามที่สมาคมชาวนาไทย เป็นห่วงว่า อาจจะมีพันธุ์ข้าวตัดแต่งพันธุกรรม หรือจีเอ็มโอ หลุดเข้ามาปลูกในแปลงนาของเกษตรกรเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น
เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน นายวิเชียร พวงลำเจียก กรรมการสมาคมชาวนาไทย กล่าวว่า สำนักวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ ได้แจ้งให้ทราบว่า การตรวจสกัดดีเอ็นเอข้าว 6 ตัวอย่าง ในพื้นที่ อ.บางเลน จ.นครปฐม และ อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา ไม่พบว่ามีพันธุ์ข้าวจีเอ็มโอ เป็นเรื่องที่ดี เพราะจะทำให้ข้าวไทยเป็นที่ยอมรับทั่วโลก
นายสุวรรณลภ ภูวบัณฑิตสิน ประธานหอการค้าจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่มีการตรวจสอบการตัดแต่งพันธุกรรมในข้าว การตรวจไม่พบจีเอ็มโอจะส่งผลดีกับการส่งออกข้าวไทยไปยังประเทศคู่ค้าในทั่วโลก เชื่อมั่นว่าข้าวไทยปลอดภัย แหล่งข้อมูล
เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน นายวิเชียร พวงลำเจียก กรรมการสมาคมชาวนาไทย กล่าวว่า สำนักวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ ได้แจ้งให้ทราบว่า การตรวจสกัดดีเอ็นเอข้าว 6 ตัวอย่าง ในพื้นที่ อ.บางเลน จ.นครปฐม และ อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา ไม่พบว่ามีพันธุ์ข้าวจีเอ็มโอ เป็นเรื่องที่ดี เพราะจะทำให้ข้าวไทยเป็นที่ยอมรับทั่วโลก
นายสุวรรณลภ ภูวบัณฑิตสิน ประธานหอการค้าจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่มีการตรวจสอบการตัดแต่งพันธุกรรมในข้าว การตรวจไม่พบจีเอ็มโอจะส่งผลดีกับการส่งออกข้าวไทยไปยังประเทศคู่ค้าในทั่วโลก เชื่อมั่นว่าข้าวไทยปลอดภัย แหล่งข้อมูล
รายงานสุขภาพคนไทย ปี 2551
รายงานสุขภาพคนไทย ปี 2551 ระบุอีกว่า คลื่นความร้อนที่เกิดขึ้นในโลกจะคุกคามสุขภาพของมนุษย์ โดยในช่วง 20 ปี ที่ผ่านมา เกิดคลื่นความร้อนรุนแรงถี่ขึ้น แต่ละครั้งส่งผลต่อชีวิตคนนับพันนับหมื่น ทั้งในเอเชีย ออสเตรเลีย อเมริกา และยุโรป ซึ่งเหยื่อสำคัญของการเกิดคลื่นความร้อนแต่ละครั้งคือ เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่กำลังเจ็บป่วย เพราะสภาพดังกล่าวทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและพลังงานไปมากกว่าปกติ นอกจากนี้ ภาวะโลกร้อนจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ เช่น การเผชิญหน้าภัยพิบัติบ่อยครั้งขึ้น เนื่องจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ส่งผลให้เกิดลมฟ้าอากาศผิดปกติและมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มความรุนแรงมากกว่าในอดีต โดยเฉพาะปรากฏการณ์น้ำท่วม ความแห้งแล้ง การเกิดคลื่นความร้อน พายุ และไฟป่า เป็นต้น
ทั้งนี้ 10 สถานการณ์เด่นด้านสุขภาพปี 2551 ประกอบด้วยเรื่องหลัก อาทิ การแก้กฎหมายข่มขืนและกฎหมายใหม่คุ้มครองผู้ถูกกระทำรุนแรง : อีกหนึ่งความคืบหน้าของงานยุติธรรมความรุนแรงต่อผู้หญิง, สี่ปีความรุนแรงของไฟใต้...ความถี่ไม่ลด ความโหดร้ายขยายตัว, ถึงเวลาต้องป้องกันและแก้ไขปัญหาทำแท้งเถื่อนให้ได้ผล, ไข้เลือดออกระบาดหนักจากภาวะโลกร้อน, โอนสถานีอนามัยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คืนสุขภาพ...ให้ประชาชน, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์...ปิดกั้นเสรีโลกออนไลน์ ?, อีกเพียง 3 ปี ขยะล้นเมืองไทย และ "เรตติ้งทีวี" ภารกิจของผู้ใหญ่เพื่อผู้ชมตัวน้อย เป็นต้น แหล่งข้อมูล
ทั้งนี้ 10 สถานการณ์เด่นด้านสุขภาพปี 2551 ประกอบด้วยเรื่องหลัก อาทิ การแก้กฎหมายข่มขืนและกฎหมายใหม่คุ้มครองผู้ถูกกระทำรุนแรง : อีกหนึ่งความคืบหน้าของงานยุติธรรมความรุนแรงต่อผู้หญิง, สี่ปีความรุนแรงของไฟใต้...ความถี่ไม่ลด ความโหดร้ายขยายตัว, ถึงเวลาต้องป้องกันและแก้ไขปัญหาทำแท้งเถื่อนให้ได้ผล, ไข้เลือดออกระบาดหนักจากภาวะโลกร้อน, โอนสถานีอนามัยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คืนสุขภาพ...ให้ประชาชน, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์...ปิดกั้นเสรีโลกออนไลน์ ?, อีกเพียง 3 ปี ขยะล้นเมืองไทย และ "เรตติ้งทีวี" ภารกิจของผู้ใหญ่เพื่อผู้ชมตัวน้อย เป็นต้น แหล่งข้อมูล
Friday, June 27, 2008
นักเรียนกว่า 7 หมื่นคน ที่เรียนชั้น ป.3 อ่านหนังสือไม่ออก เขียนไม่ได้
เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ให้สัมภาษณ์หลังเป็นประธานเปิดงานเชิดชูครูกวีศรีสุนทร เนื่องในวันสุนทรภู่ ที่สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (สวช.) ว่า ปัจจุบันไทยให้ความสำคัญกับภาษาไทยน้อยมาก มองข้ามการพัฒนาเด็กและเยาวชนให้เรียนรู้เรื่องบทกวี บทความ แต่เน้นพัฒนาวัตถุนิยม ซึ่งน่าห่วง จึงมอบให้ ศธ.เร่งส่งเสริมการเรียนรู้คุณธรรมจริยธรรม และบทกลอน กวี เสริมเป็นหลักสูตรการเรียนการสอน เพื่อปลูกฝังเด็กและเยาวชนให้รู้จักรากเหง้าของภาษา โดยลงนามความร่วมมือกับกระทรวงวัฒน ธรรม (วธ.) จัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมในโรงเรียนทั่วประเทศ ให้เด็กและเยาวชนใช้เป็นแหล่งเรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่น
นางกาญจนา นาคสกุล ราชบัณฑิต และนายกสมาคมครูภาษาไทยแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ที่เด็กไม่สนใจบทกวี อ่านโคลงกลอนไม่เป็น เพราะครูไม่มีเวลาให้เด็กฝึกเรียนคำประพันธ์ คิดว่าครูควรปลูกฝังเด็กให้เรียนรู้ภาษาไทยเป็นขั้นๆ ไป เริ่มตั้งแต่ประถมศึกษา ให้เด็กอ่านออก เขียนได้ คนไหนอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ควรให้ซ้ำชั้นอย่างน้อย 1 ปี เพื่อให้มีทักษะที่ดีขึ้น ทั้งนี้ สถานการณ์ที่น่าวิตกในเวลานี้คือ มีนักเรียนกว่า 7 หมื่นคน ที่เรียนชั้น ป.3 อ่านหนังสือไม่ออก เขียนไม่ได้ ศธ.ควรแก้ไขตั้งแต่ชั้น ป.1 Source
นางกาญจนา นาคสกุล ราชบัณฑิต และนายกสมาคมครูภาษาไทยแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ที่เด็กไม่สนใจบทกวี อ่านโคลงกลอนไม่เป็น เพราะครูไม่มีเวลาให้เด็กฝึกเรียนคำประพันธ์ คิดว่าครูควรปลูกฝังเด็กให้เรียนรู้ภาษาไทยเป็นขั้นๆ ไป เริ่มตั้งแต่ประถมศึกษา ให้เด็กอ่านออก เขียนได้ คนไหนอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ควรให้ซ้ำชั้นอย่างน้อย 1 ปี เพื่อให้มีทักษะที่ดีขึ้น ทั้งนี้ สถานการณ์ที่น่าวิตกในเวลานี้คือ มีนักเรียนกว่า 7 หมื่นคน ที่เรียนชั้น ป.3 อ่านหนังสือไม่ออก เขียนไม่ได้ ศธ.ควรแก้ไขตั้งแต่ชั้น ป.1 Source
กำหนดขีดความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยวของกรมอุทยานแห่งชาติ
เมื่อวันที่ 26 มิถุนายนกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสัมนาการกำหนดขีดความสามารถในการรองรับได้ด้านนันทนาการ และการท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติ นายเฉลิมศักดิ์ วานิชสมบัติ อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีอุทยานแห่งชาติทั้งหมด 108 แห่ง และเตรียมที่จะประกาศอีก 2 แห่ง ส่วนอีก 40 แห่งกำลังอยู่ในระหว่างการเตรียมการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติ ซึ่งพบว่าในแต่ละอุทยานล้วนได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นอย่างมาก ทั้งนี้สำหรับการกำหนดขีดความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยว มีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการรักษาพื้นที่ป่าไว้ ในการรักษาความสมดุลของธรรมชาติ และการรักษาป่าสำหรับการศึกษาวิจัย เพราะปัจจุบันพื้นที่ป่าลดลงเรื่อยๆ อย่างไรก็ตามปัจจุบันอุทยานแห่งชาติ ที่มีปัญหามากๆ หลักๆ ก็คือการกระจายตัวของนักท่องเที่ยวที่ไม่สมดุล โดยเฉพาะช่วงวันหยุด เช่น อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ในช่วงวันหยุดสำคัญ จะมีนักท่องเที่ยวถึงวันละ 3-4 หมื่นคน ในขณะอ ทยานสามารถรองรับได้แค่ 3-4 พันคนเท่านั้น จำนวนรถยนต์ รองรับได้ 1-2 พันคัน แต่กลับมีรถเข้าไปถึง สี่ถึงห้าพันคัน ทำให้กลายอุทยานฯ กลายเป็นลานจอดรถ รวมทั้งยังมีปัญหาเรื่องขยะ และที่พักตามมา เป็นต้น
อธิบดีกรมอุทยานฯ กล่าวต่อว่า สำหรับการกำหนดขีดความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยวของกรมอุทยานจะเริ่มในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ ใน 10 อุทยานแห่งชาติสำคัญ ประกอบด้วย อุทยานแห่งชาติ ห้วยน้ำดัง กำหนดให้หนักท่องเที่ยวเข้าพักค้างคืนได้สูงสุด 1134 คน ไปกลับ 850 คน ,อุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก พักค้างคืนได้ 1000 คน ไปกลับ 1100 คน,อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ พักค้างคืนได้ 800 คน ไปกลับ 2500 คน,อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย ค้างคืนได้ 850 คน ไปกลับ 2900 คน,อุทยานแห่งชาติภูกระดึง ค้างคืน 5300 คน ไปกลับ 300 คน,อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ พักค้างคืนได้ 2650 คน ไปกลับ 3235 คน,อุทยานแห่งชาติเอราวัณ ค้างคืนได้ 742 คน ไปกลับได้ 2000 คน,อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ค้างคืนได้ 1500 คน ไปกลับ 1500 คน อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ ค้างคืนได้ 620 คน ไปกลับ 6520 คน และอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ค้างคืนได้ 180 คน ไปกลับ 1410 คน
“ในการจำกัดนักท่องเที่ยวเข้าอุทยานฯในครั้งนี้ จะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางข้าไปในภายอุทยานฯ ในช่วงเทศกาล ลดลงถึงร้อยละ 50 ส่วนในช่วงวันธรรมดา จะทำให้ลดลง 20-30 เปอร์เซนต์ ทั้งนี้ยอมรับว่า อาจจะกระทบต่อรายได้การเก็บค่าเข้าชมอุทยานฯ ถึงครึ่งหนึ่ง จากรายได้ที่เคยจัดเก็บได้ 400 ล้านบาทต่อปี เพราะจุดประสงค์สำคัญของการจำกัดนักท่องเที่ยวก็เพื่อ ฟืนฟูระบบนิเวศภายในอุทยานฯ รวมทั้งเป็นการคัดกรองนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพด้วย ส่วนอุทยานแห่งชาติอื่นๆ ที่เหลือจะเริ่มดำเนินการต่อไป โดยเริ่มจากอุทยานที่มีคนเข้าไปเที่ยวจำนวนมาก รองจากอุทยานฯ ยอดนิยม 10 แห่งที่ประกาศครั้งนี้”
แหล่งข้อมูล
อธิบดีกรมอุทยานฯ กล่าวต่อว่า สำหรับการกำหนดขีดความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยวของกรมอุทยานจะเริ่มในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ ใน 10 อุทยานแห่งชาติสำคัญ ประกอบด้วย อุทยานแห่งชาติ ห้วยน้ำดัง กำหนดให้หนักท่องเที่ยวเข้าพักค้างคืนได้สูงสุด 1134 คน ไปกลับ 850 คน ,อุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก พักค้างคืนได้ 1000 คน ไปกลับ 1100 คน,อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ พักค้างคืนได้ 800 คน ไปกลับ 2500 คน,อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย ค้างคืนได้ 850 คน ไปกลับ 2900 คน,อุทยานแห่งชาติภูกระดึง ค้างคืน 5300 คน ไปกลับ 300 คน,อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ พักค้างคืนได้ 2650 คน ไปกลับ 3235 คน,อุทยานแห่งชาติเอราวัณ ค้างคืนได้ 742 คน ไปกลับได้ 2000 คน,อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ค้างคืนได้ 1500 คน ไปกลับ 1500 คน อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ ค้างคืนได้ 620 คน ไปกลับ 6520 คน และอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ค้างคืนได้ 180 คน ไปกลับ 1410 คน
“ในการจำกัดนักท่องเที่ยวเข้าอุทยานฯในครั้งนี้ จะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางข้าไปในภายอุทยานฯ ในช่วงเทศกาล ลดลงถึงร้อยละ 50 ส่วนในช่วงวันธรรมดา จะทำให้ลดลง 20-30 เปอร์เซนต์ ทั้งนี้ยอมรับว่า อาจจะกระทบต่อรายได้การเก็บค่าเข้าชมอุทยานฯ ถึงครึ่งหนึ่ง จากรายได้ที่เคยจัดเก็บได้ 400 ล้านบาทต่อปี เพราะจุดประสงค์สำคัญของการจำกัดนักท่องเที่ยวก็เพื่อ ฟืนฟูระบบนิเวศภายในอุทยานฯ รวมทั้งเป็นการคัดกรองนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพด้วย ส่วนอุทยานแห่งชาติอื่นๆ ที่เหลือจะเริ่มดำเนินการต่อไป โดยเริ่มจากอุทยานที่มีคนเข้าไปเที่ยวจำนวนมาก รองจากอุทยานฯ ยอดนิยม 10 แห่งที่ประกาศครั้งนี้”
แหล่งข้อมูล
Wednesday, June 25, 2008
ความต้องการของประชาชน 10 อันดับแรก
สำนักงานสถิติแห่งชาติ ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับความต้องการจากรัฐบาลครั้งที่ 5 เพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น และสะท้อนให้รัฐบาลได้ทราบถึงความต้องการของประชาชนให้เรื่องต่างๆ เพื่อเป็นข้อมูลให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปใช้ประกอบเป็นแนวทางในการวางแผน และแก้ไขปัญหา
รายละเอียดเรื่องที่ประชาชนต้องการมากที่สุด 10 อันดับแรก

ผลจากการสำรวจ พบว่า ประชาชนมีความต้องการให้รัฐบาลแก้ปัญหาเรื่องความยากจนมากที่สุด (ร้อยละ 32.5) ซึ่งเพิ่มขึ้นจากผลการสำรวจปี 2549 (ร้อยละ 23.6) แสดงให้เห็นว่า การแก้ปัญหาของรัฐบาลในเรื่องความยากจนยังไม่หมดไป อ่านรายละเอียด
รายละเอียดเรื่องที่ประชาชนต้องการมากที่สุด 10 อันดับแรก

ผลจากการสำรวจ พบว่า ประชาชนมีความต้องการให้รัฐบาลแก้ปัญหาเรื่องความยากจนมากที่สุด (ร้อยละ 32.5) ซึ่งเพิ่มขึ้นจากผลการสำรวจปี 2549 (ร้อยละ 23.6) แสดงให้เห็นว่า การแก้ปัญหาของรัฐบาลในเรื่องความยากจนยังไม่หมดไป อ่านรายละเอียด
"การอ่าน" ถือเป็น "หน้าต่างแรก" ของชีวิตในการเปิด "โลกแห่งจินตนาการ"
จากคำกล่าวที่ว่า "ไม้อ่อนดัดง่ายไม้แก่ดัดยาก" การปลูกฝังอุปนิสัยรักการอ่านให้แก่เด็กนั้น จำเป็นต้องเริ่มปลูกฝังให้ "อ่านตั้งแต่ทารก" โดยบุคคลที่มีอิทธิพลต่อเด็กมากที่สุด ก็คงหนีไม่พ้น "พ่อแม่ผู้ปกครอง" ... "ครู" แม้ว่าเด็กแรกเกิดถึงหนึ่งปี อาจจะไม่เข้าใจความหมายของ "คำ" แต่การสอนการอ่านให้เด็กในช่วงเวลาดังกล่าวไม่ถือเป็นเรื่องที่เร็วเกินไป โดยวิธีสำคัญที่เด็กจะได้ประสบการณ์ทางภาษา คือ "การอ่านหนังสือให้เด็กฟัง"
การที่พ่อแม่จับเด็กมานั่งบนตักแล้วอ่านหนังสือ นอกจากจะเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างพ่อแม่และเด็ก ทำให้เด็กรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย และมีความสุขแล้ว ยังเป็นรูปแบบของการใช้หนังสือเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมให้เด็กเกิดความสนใจ และการจดจำภาษา จนทำให้เด็กสามารถใช้ภาษาได้อย่างเหมาะสมในอนาคต โดยหนังสือที่เหมาะกับวัยทารก ควรบรรยายด้วยภาษาที่เรียบง่าย มีภาพขนาดใหญ่ และชัดเจน วัสดุที่ใช้ทำด้วยกระดาษหนา และค่อนข้างทนทาน หรืออาจเป็นหนังสือที่ทำด้วยวัสดุที่มีความนุ่ม เช่น หนังสือผ้า พลาสติค ฟองน้ำ
สำหรับผู้ใหญ่ หรือวัยรุ่นโทรทัศน์...อินเตอร์เน็ต...ภาพยนตร์...อาจจะเป็น "หน้าต่าง" ที่ใช้เปิดให้เห็นโลกในมุมมองที่แตกต่าง แต่สำหรับเด็กปฐมวัยแล้ว "การอ่าน" ถือเป็น "หน้าต่างแรก" ของชีวิตในการเปิด "โลกแห่งจินตนาการ" และ "โลกแห่งความจริง" ดังนั้น การเลือกหนังสือเล่มแรกให้แก่เด็ก เมื่อถึงวัยที่จะต้องเริ่มหัดอ่านด้วยตนเอง จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากต่อการเป็นจุดเริ่มต้นของ "ความรู้สึกรักการอ่านที่จะฝังรากลึกไปจนตลอดชีวิต" อ่านรายละเอียด
การที่พ่อแม่จับเด็กมานั่งบนตักแล้วอ่านหนังสือ นอกจากจะเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างพ่อแม่และเด็ก ทำให้เด็กรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย และมีความสุขแล้ว ยังเป็นรูปแบบของการใช้หนังสือเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมให้เด็กเกิดความสนใจ และการจดจำภาษา จนทำให้เด็กสามารถใช้ภาษาได้อย่างเหมาะสมในอนาคต โดยหนังสือที่เหมาะกับวัยทารก ควรบรรยายด้วยภาษาที่เรียบง่าย มีภาพขนาดใหญ่ และชัดเจน วัสดุที่ใช้ทำด้วยกระดาษหนา และค่อนข้างทนทาน หรืออาจเป็นหนังสือที่ทำด้วยวัสดุที่มีความนุ่ม เช่น หนังสือผ้า พลาสติค ฟองน้ำ
สำหรับผู้ใหญ่ หรือวัยรุ่นโทรทัศน์...อินเตอร์เน็ต...ภาพยนตร์...อาจจะเป็น "หน้าต่าง" ที่ใช้เปิดให้เห็นโลกในมุมมองที่แตกต่าง แต่สำหรับเด็กปฐมวัยแล้ว "การอ่าน" ถือเป็น "หน้าต่างแรก" ของชีวิตในการเปิด "โลกแห่งจินตนาการ" และ "โลกแห่งความจริง" ดังนั้น การเลือกหนังสือเล่มแรกให้แก่เด็ก เมื่อถึงวัยที่จะต้องเริ่มหัดอ่านด้วยตนเอง จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากต่อการเป็นจุดเริ่มต้นของ "ความรู้สึกรักการอ่านที่จะฝังรากลึกไปจนตลอดชีวิต" อ่านรายละเอียด
Monday, June 23, 2008
ร่างพ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ
ค้าน ร่างพ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นฯ ฉบับปล้นคลื่นความถี่
การสัมมนาเรื่อง “วิพากษ์ (ร่าง) พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯกับผลกระทบต่อประชาชน”วันพุธที่ 11 มิถุนายน 2551 ตั้งแต่เวลา 13.00-16.30 น.ณ ห้องประชุม 1 สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จัดโดย คณะทำงานสื่อสารกับสังคม สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคม
สำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
การบริหารความถี่ และใบอนุญาตวิทยุคมนาคม
การสัมมนาเรื่อง “วิพากษ์ (ร่าง) พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯกับผลกระทบต่อประชาชน”วันพุธที่ 11 มิถุนายน 2551 ตั้งแต่เวลา 13.00-16.30 น.ณ ห้องประชุม 1 สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จัดโดย คณะทำงานสื่อสารกับสังคม สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคม
สำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
การบริหารความถี่ และใบอนุญาตวิทยุคมนาคม
Friday, June 20, 2008
สุนทรภู่
ประวัติสุนทรภู่
สุนทรภู่เกิดเมื่อวันจันทร์ เดือน ๘ ขึ้น ๑ ค่ำ ปีมะเมีย จุลศักราช ๑๑๔๘ เวลาประมาณ ๘.๐๐ น. ซึ่งตรงกับวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๓๒๙ ในรัชกาลที่ ๑ บิดามารดาชื่อใดไม่ปรากฏ ทราบเพียงว่ามารดามีเชื้อสายผู้ดี เเละทำหน้าที่เป็นแม่นมของพระธิดาในกรมพระราชวังหลัง ส่วนบิดานั้นบวชเป็นพระอยู่ที่วัดบ้านกร่ำ อำเภอเเกลง จังหวัดระยอง เมื่อสุนทรภู่โตพอสมควร มารดาได้นำไปฝากให้เรียนหนังสือที่วัดชีปะขาว หรือวัดศรีสุดารามในปัจจุบัน ครั้นมีความรู้ดีเเล้ว มารดานำไปฝากเป็นข้าในกรมพระราชวังหลัง เเต่อยู่ได้ไม่นานก็ลาออกไปเป็นเสมียน สุนทรภู่รับราชการไม่ก้าวหน้านัก เพราะติดนิสัยรักกาพย์กลอน กระทั่งในสมัยรัชกาลที่ ๒ จึงเป็นที่โปรดปรานให้เป็น "ขุนสุนทรโวหาร" ( ภู่ ) เรียกกันสั้นๆ ว่า "สุนทรภู่ " ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๔ ได้รับบรรดาศักดิ์เป็น " พระสุนทรโวหาร " เเละถึงเเก่กรรมเมื่อปีเถาะ พ.ศ. ๒๓๙๘ อายุได้ ๗๐ ปี
ผลงาน
หนังสือบทกลอนที่สุนทรภู่เเต่งมีมากมาย ที่ได้ยินเเต่ชื่อเรื่องยังหาฉบับไม่พบก็มี ที่หายสาบสูญไปเเล้วไม่ได้ยินชื่อเรื่องก็มี เเต่เรื่องที่ยังมีต้นฉบับอยู่ในปัจจุบันมี ๒๔ เรื่อง คือ
- นิราศ ๙ เรื่อง ได้เเก่ นิราศเมืองเเกลง นิราศพระบาท นิราศภูเขาทอง นิราศเมืองสุพรรณ นิราศวัดเจ้าฟ้า นิราศอิเหนา นิราศพระเเท่นดงรัง นิราศพระปฐม เเละนิราศเมืองเพชรบุรี
- นิทาน ๕ เรื่อง ได้เเก่ โคบุตร พระอภัยมณี พระไชยสุริยา ลักษณวงศ์ เเละ สิงหไตรภพ
- สุภาษิต ๓ เรื่อง ได้เเก่ สวัสดิรักษา เพลงยาวถวายโอวาท เเละสุภาษิตสอนหญิง
- บทละคร ๑ เรื่อง คือ เรื่องอภัยนุราช
- บทเสภา ๒ เรื่อง ได้เเก่ ขุนช้างขุนเเผน ตอนกำเนิดพลายงาม เเละเรื่องพระราชพงศาวดาร
- บทเห่กล่อม ๔ เรื่อง ได้เเก่ เห่เรื่องจับระบำ เห่เรื่องกากี เห่เรื่องพระอภัยมณี เเละเห่เรื่องโคบุตร (อ่านรายละเอียด)
ผลงานสุนทรภู่
สุนทรภู่เป็นกวีในราชสำนักรัชกาลที่ 2 ที่อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ยกย่องเป็น "มหากวีกระฎุมพี" เป็น "อาลักษณ์นักเลงทำเพลงยาว" และเป็นศาสตราจารย์นักปราชญ์ราชสำนัก "ปัญญาชน" ฝ่ายก้าวหน้า ที่ฝักใฝ่อยู่กับเจ้าฟ้ามงกุฎ (พระนามเดิมของรัชกาลที่ 4) กับเจ้าฟ้าน้อย (พระนามเดิมของพระปิ่นเกล้าฯ) ทั้ง 2 พระองค์ ทรงเป็นราชโอรสของรัชกาลที่ 2 ที่มีสิทธิชอบธรรมในการสืบราชสมบัติต่อจากสมเด็จพระราชบิดา
สุนทรภู่ออกบวชเมื่อ พ.ศ.2367 ขณะนั้นอายุ 38 ปี จึงไม่ใช่บวชตามประเพณีปกติ แต่เป็นที่รู้กันว่าบวชการเมืองหนีราชภัย เพราะบวชเมื่อรู้ว่ารัชกาลที่ 3 ได้เสวยราชย์เป็นพระเจ้าแผ่นดินซึ่งต่างจากที่เคยคาดคะเนว่าราชสมบัติควรตกอยู่กับเจ้าฟ้ามงกุฎที่ตนฝักใฝ่เลื่อมใส แล้วถือตนว่าเป็นช่วงข้าใช้มาตลอด อ่านรายละเอียด
สุนทรภู่เกิดเมื่อวันจันทร์ เดือน ๘ ขึ้น ๑ ค่ำ ปีมะเมีย จุลศักราช ๑๑๔๘ เวลาประมาณ ๘.๐๐ น. ซึ่งตรงกับวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๓๒๙ ในรัชกาลที่ ๑ บิดามารดาชื่อใดไม่ปรากฏ ทราบเพียงว่ามารดามีเชื้อสายผู้ดี เเละทำหน้าที่เป็นแม่นมของพระธิดาในกรมพระราชวังหลัง ส่วนบิดานั้นบวชเป็นพระอยู่ที่วัดบ้านกร่ำ อำเภอเเกลง จังหวัดระยอง เมื่อสุนทรภู่โตพอสมควร มารดาได้นำไปฝากให้เรียนหนังสือที่วัดชีปะขาว หรือวัดศรีสุดารามในปัจจุบัน ครั้นมีความรู้ดีเเล้ว มารดานำไปฝากเป็นข้าในกรมพระราชวังหลัง เเต่อยู่ได้ไม่นานก็ลาออกไปเป็นเสมียน สุนทรภู่รับราชการไม่ก้าวหน้านัก เพราะติดนิสัยรักกาพย์กลอน กระทั่งในสมัยรัชกาลที่ ๒ จึงเป็นที่โปรดปรานให้เป็น "ขุนสุนทรโวหาร" ( ภู่ ) เรียกกันสั้นๆ ว่า "สุนทรภู่ " ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๔ ได้รับบรรดาศักดิ์เป็น " พระสุนทรโวหาร " เเละถึงเเก่กรรมเมื่อปีเถาะ พ.ศ. ๒๓๙๘ อายุได้ ๗๐ ปี
ผลงาน
หนังสือบทกลอนที่สุนทรภู่เเต่งมีมากมาย ที่ได้ยินเเต่ชื่อเรื่องยังหาฉบับไม่พบก็มี ที่หายสาบสูญไปเเล้วไม่ได้ยินชื่อเรื่องก็มี เเต่เรื่องที่ยังมีต้นฉบับอยู่ในปัจจุบันมี ๒๔ เรื่อง คือ
- นิราศ ๙ เรื่อง ได้เเก่ นิราศเมืองเเกลง นิราศพระบาท นิราศภูเขาทอง นิราศเมืองสุพรรณ นิราศวัดเจ้าฟ้า นิราศอิเหนา นิราศพระเเท่นดงรัง นิราศพระปฐม เเละนิราศเมืองเพชรบุรี
- นิทาน ๕ เรื่อง ได้เเก่ โคบุตร พระอภัยมณี พระไชยสุริยา ลักษณวงศ์ เเละ สิงหไตรภพ
- สุภาษิต ๓ เรื่อง ได้เเก่ สวัสดิรักษา เพลงยาวถวายโอวาท เเละสุภาษิตสอนหญิง
- บทละคร ๑ เรื่อง คือ เรื่องอภัยนุราช
- บทเสภา ๒ เรื่อง ได้เเก่ ขุนช้างขุนเเผน ตอนกำเนิดพลายงาม เเละเรื่องพระราชพงศาวดาร
- บทเห่กล่อม ๔ เรื่อง ได้เเก่ เห่เรื่องจับระบำ เห่เรื่องกากี เห่เรื่องพระอภัยมณี เเละเห่เรื่องโคบุตร (อ่านรายละเอียด)
ผลงานสุนทรภู่
สุนทรภู่เป็นกวีในราชสำนักรัชกาลที่ 2 ที่อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ยกย่องเป็น "มหากวีกระฎุมพี" เป็น "อาลักษณ์นักเลงทำเพลงยาว" และเป็นศาสตราจารย์นักปราชญ์ราชสำนัก "ปัญญาชน" ฝ่ายก้าวหน้า ที่ฝักใฝ่อยู่กับเจ้าฟ้ามงกุฎ (พระนามเดิมของรัชกาลที่ 4) กับเจ้าฟ้าน้อย (พระนามเดิมของพระปิ่นเกล้าฯ) ทั้ง 2 พระองค์ ทรงเป็นราชโอรสของรัชกาลที่ 2 ที่มีสิทธิชอบธรรมในการสืบราชสมบัติต่อจากสมเด็จพระราชบิดา
สุนทรภู่ออกบวชเมื่อ พ.ศ.2367 ขณะนั้นอายุ 38 ปี จึงไม่ใช่บวชตามประเพณีปกติ แต่เป็นที่รู้กันว่าบวชการเมืองหนีราชภัย เพราะบวชเมื่อรู้ว่ารัชกาลที่ 3 ได้เสวยราชย์เป็นพระเจ้าแผ่นดินซึ่งต่างจากที่เคยคาดคะเนว่าราชสมบัติควรตกอยู่กับเจ้าฟ้ามงกุฎที่ตนฝักใฝ่เลื่อมใส แล้วถือตนว่าเป็นช่วงข้าใช้มาตลอด อ่านรายละเอียด
Thursday, June 19, 2008
เขาพระวิหาร มรดกโลก
อดีตปธ.มรดกโลก ศ.ดร.อดุลย์ วิเชียรเจริญ ชี้ไทยเสียอธิปไตยเขาพระวิหาร
เผยเบื้องลึกปมเปิดเผยแผนที่เขาพระวิหาร หลังกองทัพไม่สบายใจแผนที่ของกัมพูชารุกล้ำเขตพื้นที่ทับซ้อน 10 เมตร หวั่นเสียดินแดน แต่ต้อง "เจรจาลับ" หลายรอบจน "นพดล" ยอมบินไปคุยกัมพูชา โดยยึดแผนที่ปี 2505 ตามคำพิพากษาศาลโลก
ความพยายามของประเทศกัมพูชาในการยื่นขอขึ้นทะเบียนต่อองค์การยูเนสโก เพื่อพิจารณาให้ "เขาพระวิหาร" เป็น "มรดกโลก" กระทบกระเทือนอย่างรุนแรงต่อความรู้สึกของคนไทย เพราะถึงแม้ตัวปราสาทจะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของกัมพูชาตามคำพิพากษาศาลโลก ทว่า พื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ซึ่งมีโบราณวัตถุต่างๆ เช่น สระตราว สถูปนูนต่ำ บันไดทางขึ้นเขาพระวิหาร ฯลฯ ก็ยังเป็นข้อพิพาทที่ยังไม่ได้ข้อสรุป ทำให้เกิดกระแสชาตินิยม เพราะเกรงว่าไทยจะ "เสียดินแดน" ดังกระหึ่มขึ้นมาอีกครั้ง
...
ฝ่ายกัมพูชาจะส่งให้ยูเนสโกพิจารณาขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ในการประชุมดับเบิลยูเอชซี ครั้งที่ 32 ณ เมืองควิเบก ประเทศแคนาดา ในกลางเดือนกรกฎาคม 2551...
การยอมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ก็เท่ากับ "ตัดสิทธิ์" ในการทวงคืนเขาพระวิหารไปโดยปริยายอ่านรายละเอียด
ข้อมูลปราสาทเขาพระวิหาร
เผยเบื้องลึกปมเปิดเผยแผนที่เขาพระวิหาร หลังกองทัพไม่สบายใจแผนที่ของกัมพูชารุกล้ำเขตพื้นที่ทับซ้อน 10 เมตร หวั่นเสียดินแดน แต่ต้อง "เจรจาลับ" หลายรอบจน "นพดล" ยอมบินไปคุยกัมพูชา โดยยึดแผนที่ปี 2505 ตามคำพิพากษาศาลโลก
ความพยายามของประเทศกัมพูชาในการยื่นขอขึ้นทะเบียนต่อองค์การยูเนสโก เพื่อพิจารณาให้ "เขาพระวิหาร" เป็น "มรดกโลก" กระทบกระเทือนอย่างรุนแรงต่อความรู้สึกของคนไทย เพราะถึงแม้ตัวปราสาทจะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของกัมพูชาตามคำพิพากษาศาลโลก ทว่า พื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ซึ่งมีโบราณวัตถุต่างๆ เช่น สระตราว สถูปนูนต่ำ บันไดทางขึ้นเขาพระวิหาร ฯลฯ ก็ยังเป็นข้อพิพาทที่ยังไม่ได้ข้อสรุป ทำให้เกิดกระแสชาตินิยม เพราะเกรงว่าไทยจะ "เสียดินแดน" ดังกระหึ่มขึ้นมาอีกครั้ง
...
ฝ่ายกัมพูชาจะส่งให้ยูเนสโกพิจารณาขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ในการประชุมดับเบิลยูเอชซี ครั้งที่ 32 ณ เมืองควิเบก ประเทศแคนาดา ในกลางเดือนกรกฎาคม 2551...
การยอมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ก็เท่ากับ "ตัดสิทธิ์" ในการทวงคืนเขาพระวิหารไปโดยปริยายอ่านรายละเอียด
ข้อมูลปราสาทเขาพระวิหาร
Tuesday, June 17, 2008
3G (third generation of mobile phone)
จากอนาล็อกในยุคแรก พัฒนาสู่ยุคดิจิทัล มาถึงจีเอสเอ็ม และกำลังเข้าสู่ยุคล่าสุด 3G (third generation) ยักษ์มือถือตั้งตารอกันมานาน รอแล้วรอเล่าเฝ้าแต่รอ "กทช." อนุมัติคลื่นความถี่ (2.1 จิกะเฮิรตซ์) พร้อมไลเซนส์ใหม่
"เอไอเอส" ล่าสุด (9 เม.ย. 2551) เปิดตัวบริการ 3G บนคลื่น 900 MHz เริ่มที่ "จีเอสเอ็ม แอดวานซ์" ก่อน ใช้ชื่อว่า "3GSM Advance" เป็นบริการโทรศัพท์มือถือ 3G บนมาตรฐาน WCDMA (Wide Band CDMA) รองรับการใช้งานรับ-ส่งข้อมูลความเร็วสูงสุดถึง 7,200 กิโลบิตต่อวินาที เร็วกว่า GPRS และ EDGE เดิมถึง 45 เท่า (ทางทฤษฎี)
จากปัจจุบันมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในบ้านเรา 15 ล้านคน เป็นบรอดแบนด์แค่ 1 ล้านเท่านั้น เพราะคนไม่สามารถเข้าถึงบริการได้อย่างรวดเร็ว มีข้อจำกัดหลายด้าน เมื่อมีมือถือ 3G จะง่ายและเร็วขึ้นมาก หากดูจำนวนผู้ใช้มือถือจะเห็นว่ามีมากกว่า 50 ล้านคนแล้ว อ่านรายละเอียด
อนาคตมือถือ 3G
ขณะนี้ภาครัฐมีนโยบายแก้ไขปัญหาความล่าช้าในการเปิดให้บริการระบบ 3G โดยกำหนดให้ผู้ให้บริการสามารถพัฒนาระบบ 3G บนคลื่นความถี่เดิมได้ ซึ่งคาดว่าผู้ให้บริการทั้งหมดจะสามารถเปิดให้บริการระบบ 3G ได้ภายในปีนี้ โดยจะเป็นบริการอินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์ไร้สายผ่านเทคโนโลยี HSPA
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าผู้ให้บริการจะมีการลงทุนพัฒนาโครงข่ายไปสู่ระบบ 3G บนคลื่นความถี่เดิมในปีนี้รวมประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาทเท่านั้น เนื่องจากยังต้องรอความชัดเจนเรื่องหลักเกณฑ์และกำหนดการในการออกใบอนุญาตให้บริการระบบ 3G จากคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ก่อน หลังจากนั้นจึงจะลงทุนพัฒนา 3G อย่างเต็มรูปแบบบนคลื่นความถี่ใหม่ ซึ่งคาดว่าผู้ให้บริการแต่ละรายจะใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่าประมาณ 30,000-40,000 ล้านบาท ภายในระยะเวลาประมาณ 5 ปี โดยคาดว่าจะแบ่งการลงทุนออกเป็น 3 ระยะด้วยกัน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการลงทุนต้องใช้เม็ดเงินจำนวนมาก หลังการลงทุนในระยะแรก ผู้ให้บริการคงต้องพิจารณาการตอบรับของตลาดก่อนที่จะลงทุนในระยะต่อไป ซึ่งอาจส่งผลให้ระยะเวลาการลงทุนที่ประเมินไว้ข้างต้นเปลี่ยนแปลงไปได้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่าระบบ 3G จะสร้างประโยชน์ใน 3 ประการ ได้แก่ หนึ่ง จะช่วยให้เศรษฐกิจโดยรวมมีโอกาสเติบโตสูงขึ้นจากผลของการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารและโทรคมนาคมที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้น
สอง ช่วยให้ธุรกิจโดยตรงและเกี่ยวเนื่องมีโอกาสเติบโต โดยคาดว่าหากตลาดตอบรับกับระบบ 3G เป็นอย่างดี จะทำให้ภายในประมาณปี 2553 ผู้ให้บริการระบบจะมีรายได้จากบริการ Non-Voice เพิ่มสูงขึ้นจนมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 20 ของรายได้ทั้งหมด จากเดิมอยู่ที่ประมาณร้อยละ 10 สำหรับธุรกิจเครื่องลูกข่ายก็คาดว่าจะมีโอกาสเติบโตเพิ่มขึ้นจากยอดขายเครื่องลูกข่ายที่รองรับระบบ 3G โดยคาดว่าสัดส่วนของยอดขายของโทรศัพท์เคลื่อนที่สมาร์ทโฟน และพีดีเอ ที่รองรับระบบ 3G จะเพิ่มขึ้นจนมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 50 ของยอดขายทั้งหมด จากเดิมอยู่ที่ประมาณร้อยละ 20 นอกจากนี้ ระบบ 3G ยังช่วยให้ธุรกิจเกี่ยวเนื่องต่างๆ มีโอกาสเติบโตมากขึ้น โดยเฉพาะบริการคอนเทนท์ใหม่ๆ ที่คาดว่าจะเกิดมากขึ้น
สาม ผู้บริโภคจะได้รับโอกาสการเข้าถึงการใช้อินเตอร์เน็ตเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะบางพื้นที่ที่สายโทรศัพท์พื้นฐานเข้าไปไม่ถึง หรือในพื้นที่ที่มีปัญหาเรื่องความเร็วของการให้บริการอินเตอร์เน็ต
สำหรับความพร้อมของผู้ใช้บริการยังคงเป็นโจทย์ที่ท้าทายสำหรับผู้ให้บริการ เนื่องจากปัจจุบันกลุ่มผู้ใช้บริการ Non-Voice หลัก มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 10 ของผู้ใช้บริการทั้งหมด รวมทั้งความเข้าใจในเทคโนโลยีของคนไทยยังจำกัดอยู่ในเฉพาะบางกลุ่มเท่านั้น ตลอดจน Content ที่ให้บริการอยู่ในปัจจุบันยังมีจำนวนไม่มาก ไม่สะดวก และไม่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ตรงจุด
ทั้งนี้ ศูนย์ขอเสนอแนะแนวทางในการพัฒนาระบบ 3G ได้แก่ ผู้ให้บริการเครือข่าย ผู้จัดจำหน่ายเครื่องลูกข่าย และผู้ให้บริการคอนเทนท์ต้องร่วมกันพัฒนาให้มีความหลากหลายและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างตรงจุดมากขึ้น ง่ายต่อการใช้งานและเข้าถึงกลุ่มคนส่วนใหญ่ได้ โดยเครื่องลูกข่ายที่สามารถรองรับกับระบบ 3G ควรมีราคาที่ไม่สูงมากนัก เพื่อให้ผู้บริโภคในทุกระดับมีโอกาสในการเข้าถึงระบบ 3G ได้
และภาครัฐจะต้องควบคุมดูแลการแข่งขันในตลาดและส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาในระบบ 3G อย่างทั่วถึง เป็นธรรม และโปร่งใส ไม่ให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างผู้ให้บริการแต่ละราย รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการขอใบอนุญาตให้บริการในระบบ 3G ก็ควรอยู่บนพื้นฐานที่ภาครัฐไม่สูญเสียผลประโยชน์ แต่ก็ต้องจูงใจให้ภาคเอกชนหันมาลงทุนพัฒนาระบบ 3G แหล่งข้อมูล
"เอไอเอส" ล่าสุด (9 เม.ย. 2551) เปิดตัวบริการ 3G บนคลื่น 900 MHz เริ่มที่ "จีเอสเอ็ม แอดวานซ์" ก่อน ใช้ชื่อว่า "3GSM Advance" เป็นบริการโทรศัพท์มือถือ 3G บนมาตรฐาน WCDMA (Wide Band CDMA) รองรับการใช้งานรับ-ส่งข้อมูลความเร็วสูงสุดถึง 7,200 กิโลบิตต่อวินาที เร็วกว่า GPRS และ EDGE เดิมถึง 45 เท่า (ทางทฤษฎี)
จากปัจจุบันมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในบ้านเรา 15 ล้านคน เป็นบรอดแบนด์แค่ 1 ล้านเท่านั้น เพราะคนไม่สามารถเข้าถึงบริการได้อย่างรวดเร็ว มีข้อจำกัดหลายด้าน เมื่อมีมือถือ 3G จะง่ายและเร็วขึ้นมาก หากดูจำนวนผู้ใช้มือถือจะเห็นว่ามีมากกว่า 50 ล้านคนแล้ว อ่านรายละเอียด
อนาคตมือถือ 3G
ขณะนี้ภาครัฐมีนโยบายแก้ไขปัญหาความล่าช้าในการเปิดให้บริการระบบ 3G โดยกำหนดให้ผู้ให้บริการสามารถพัฒนาระบบ 3G บนคลื่นความถี่เดิมได้ ซึ่งคาดว่าผู้ให้บริการทั้งหมดจะสามารถเปิดให้บริการระบบ 3G ได้ภายในปีนี้ โดยจะเป็นบริการอินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์ไร้สายผ่านเทคโนโลยี HSPA
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าผู้ให้บริการจะมีการลงทุนพัฒนาโครงข่ายไปสู่ระบบ 3G บนคลื่นความถี่เดิมในปีนี้รวมประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาทเท่านั้น เนื่องจากยังต้องรอความชัดเจนเรื่องหลักเกณฑ์และกำหนดการในการออกใบอนุญาตให้บริการระบบ 3G จากคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ก่อน หลังจากนั้นจึงจะลงทุนพัฒนา 3G อย่างเต็มรูปแบบบนคลื่นความถี่ใหม่ ซึ่งคาดว่าผู้ให้บริการแต่ละรายจะใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่าประมาณ 30,000-40,000 ล้านบาท ภายในระยะเวลาประมาณ 5 ปี โดยคาดว่าจะแบ่งการลงทุนออกเป็น 3 ระยะด้วยกัน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการลงทุนต้องใช้เม็ดเงินจำนวนมาก หลังการลงทุนในระยะแรก ผู้ให้บริการคงต้องพิจารณาการตอบรับของตลาดก่อนที่จะลงทุนในระยะต่อไป ซึ่งอาจส่งผลให้ระยะเวลาการลงทุนที่ประเมินไว้ข้างต้นเปลี่ยนแปลงไปได้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่าระบบ 3G จะสร้างประโยชน์ใน 3 ประการ ได้แก่ หนึ่ง จะช่วยให้เศรษฐกิจโดยรวมมีโอกาสเติบโตสูงขึ้นจากผลของการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารและโทรคมนาคมที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้น
สอง ช่วยให้ธุรกิจโดยตรงและเกี่ยวเนื่องมีโอกาสเติบโต โดยคาดว่าหากตลาดตอบรับกับระบบ 3G เป็นอย่างดี จะทำให้ภายในประมาณปี 2553 ผู้ให้บริการระบบจะมีรายได้จากบริการ Non-Voice เพิ่มสูงขึ้นจนมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 20 ของรายได้ทั้งหมด จากเดิมอยู่ที่ประมาณร้อยละ 10 สำหรับธุรกิจเครื่องลูกข่ายก็คาดว่าจะมีโอกาสเติบโตเพิ่มขึ้นจากยอดขายเครื่องลูกข่ายที่รองรับระบบ 3G โดยคาดว่าสัดส่วนของยอดขายของโทรศัพท์เคลื่อนที่สมาร์ทโฟน และพีดีเอ ที่รองรับระบบ 3G จะเพิ่มขึ้นจนมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 50 ของยอดขายทั้งหมด จากเดิมอยู่ที่ประมาณร้อยละ 20 นอกจากนี้ ระบบ 3G ยังช่วยให้ธุรกิจเกี่ยวเนื่องต่างๆ มีโอกาสเติบโตมากขึ้น โดยเฉพาะบริการคอนเทนท์ใหม่ๆ ที่คาดว่าจะเกิดมากขึ้น
สาม ผู้บริโภคจะได้รับโอกาสการเข้าถึงการใช้อินเตอร์เน็ตเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะบางพื้นที่ที่สายโทรศัพท์พื้นฐานเข้าไปไม่ถึง หรือในพื้นที่ที่มีปัญหาเรื่องความเร็วของการให้บริการอินเตอร์เน็ต
สำหรับความพร้อมของผู้ใช้บริการยังคงเป็นโจทย์ที่ท้าทายสำหรับผู้ให้บริการ เนื่องจากปัจจุบันกลุ่มผู้ใช้บริการ Non-Voice หลัก มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 10 ของผู้ใช้บริการทั้งหมด รวมทั้งความเข้าใจในเทคโนโลยีของคนไทยยังจำกัดอยู่ในเฉพาะบางกลุ่มเท่านั้น ตลอดจน Content ที่ให้บริการอยู่ในปัจจุบันยังมีจำนวนไม่มาก ไม่สะดวก และไม่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ตรงจุด
ทั้งนี้ ศูนย์ขอเสนอแนะแนวทางในการพัฒนาระบบ 3G ได้แก่ ผู้ให้บริการเครือข่าย ผู้จัดจำหน่ายเครื่องลูกข่าย และผู้ให้บริการคอนเทนท์ต้องร่วมกันพัฒนาให้มีความหลากหลายและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างตรงจุดมากขึ้น ง่ายต่อการใช้งานและเข้าถึงกลุ่มคนส่วนใหญ่ได้ โดยเครื่องลูกข่ายที่สามารถรองรับกับระบบ 3G ควรมีราคาที่ไม่สูงมากนัก เพื่อให้ผู้บริโภคในทุกระดับมีโอกาสในการเข้าถึงระบบ 3G ได้
และภาครัฐจะต้องควบคุมดูแลการแข่งขันในตลาดและส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาในระบบ 3G อย่างทั่วถึง เป็นธรรม และโปร่งใส ไม่ให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างผู้ให้บริการแต่ละราย รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการขอใบอนุญาตให้บริการในระบบ 3G ก็ควรอยู่บนพื้นฐานที่ภาครัฐไม่สูญเสียผลประโยชน์ แต่ก็ต้องจูงใจให้ภาคเอกชนหันมาลงทุนพัฒนาระบบ 3G แหล่งข้อมูล
Subscribe to:
Posts (Atom)