Monday, September 29, 2008

ทุนการศึกษาเพื่อผลิตครูในบ้านเกิด

นางภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก ไซม่อน หรือ ปุ๋ย อดีตนางงามจักรวาล ปี 2531 ผู้ก่อตั้งมูลนิธิ Angels Wings Foundation International เปิดเผยว่า มูลนิธิได้จัดตั้งโครงการ "ทุนการศึกษาเพื่อผลิตครูในบ้านเกิด" ขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัตถุประสงค์หลักของมูลนิธิ Angels Wings ที่มุ่งเน้นช่วยเหลือเด็กกำพร้าและเด็กด้อยโอกาสให้มีโอกาสที่ดีทางด้านการศึกษา และเป็นความต่อเนื่องของการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยจากเหตุการณ์ภัยภิบัติสึนามิในปี 2547 ที่เลือกทำโครงการทุนการศึกษาเพื่อผลิตครูในบ้านเกิด เพราะมองว่าทรัพยากรมนุษย์เป็นหัวใจของการพัฒนาประเทศ และการศึกษาเป็นการติดอาวุธทางปัญญา เพื่อให้เด็กและเยาวชนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรู้ความสามารถ ปรับตัวกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สามารถนำความรู้ไปพัฒนาตนเอง สังคม และประเทศชาติให้รุ่งเรือง

นางภรณ์ทิพย์กล่าวว่า ส่วนกลุ่มเป้าหมายในโครงการที่จะได้รับเลือกให้รับทุนการศึกษาระดับปริญญาตรีทางครุศาสตรบัณฑิต หลักสูตร 5 ปี จะคัดเลือกจากนักเรียนโรงเรียนสังกัดเทศบาลประจำจังหวัด เรียนดี เกรดเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 3.00 มีความประพฤติดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ มีใจรักศรัทธาในอาชีพครู มีจิตเมตตากรุณา อุตสาหะ มีวินัย มีจิตสำนึกรักบ้านเกิด และอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น ต้องเป็นนักเรียนที่มีพ่อแม่ หรือผู้ปกครองอาศัยอยู่ภายในจังหวัดนั้น โครงการนี้จะเริ่มตั้งแต่ปีการศึกษา 2552-2559 เมื่อผู้รับทุนเรียนจบแล้ว จะไปเป็นครูของโรงเรียนในสังกัดเทศบาลในจังหวัดของตนเอง
"ที่ตั้งเงื่อนไขให้ผู้รับทุนต้องไปเป็นครูโรงเรียนเทศบาลเมื่อเรียนจบ เพราะมองว่าครูเป็นผู้ปกครองคนที่สองรองจากพ่อแม่ เมื่อลูกของเราทุกๆ คนออกจากบ้าน ก็ต้องอยู่กับครู ครูเป็นผู้ที่ดูแลลูกของเรา และสั่งสอนลูกเราให้เป็นคนดี จึงอยากสนับสนุนผู้ที่มาทำหน้าที่ตรงนี้ ที่สำคัญอยากให้เด็กเหล่านี้เป็นผู้สืบทอดวัฒนธรรมประเพณีของท้องถิ่น ดำรงไว้ซึ่งภูมิปัญญา อยากให้คนท้องถิ่นได้ทำงานใกล้ๆ บ้าน เพื่อจะได้มีเวลาดูแลพ่อแม่ สังคมไทยเป็นสังคมที่อบอุ่น อยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ปุ๋ยยังอยากให้เป็นอย่างนี้ตลอดไป ถ้าเด็กๆ คนใดสนใจสมัครเข้ารับทุน ให้ติดต่อที่เทศบาลนครภูเก็ต หรือศูนย์ประสานงาน มูลนิธิ Angels Wings โทร.0-2391-6719" นางภรณ์ทิพย์กล่าว แหล่งข้อมูล

Monday, September 22, 2008

สารเมลามีนคืออะไร

สารเมลามีนคืออะไร
สารเมลามีน คือสารเคมีที่ใช้ผสมในการผลิตเม็ดพลาสติก และพบในยาฆ่าแมลง ซึ่งเมื่อถูกความร้อนแล้วอาจมีสารฟอร์มัลดิไฮด์ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายแพร่กระจายออกมา คณะกรรมการอาหารและยา และกระทรวงสาธารณสุขของไทยเคยแถลงการณ์ร่วมกันเกี่ยวกับอันตรายของสารเมลามีนที่ใช้ในภาชนะใส่อาหาร ตั้งแต่เมื่อปีพ.ศ. 2547 ว่า อะมิโนเรซินที่เป็นโพลิเมอร์ของเมลามีนกับฟอร์มัลดีไฮด์นี้ หากมีการนำไปใช้ไม่ถูกต้อง อาจทำให้ผู้บริโภคได้รับอันตรายจากสารฟอร์มัลดีไฮด์ที่เป็นสารก่อมะเร็งในระบบทางเดินหายใจได้
บทวิเคราะห์ : วิกฤตคุณภาพนมผงจีน โอกาสของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมไทย
ข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งของจีนในรอบเดือนนี้ นอกจากการจัดแข่งขันกีฬาระดับโลกอย่างการแข่งขันกีฬาพาราลิมปิกแล้วยังมีข่าวดังที่ทารก 3 ราย เสียชีวิต และอีกกว่าหกพันคนที่ป่วยหนักจากการดื่มนมผงที่ผลิตขึ้นมาในประเทศจีน จนกระทั่งบริษัทซันลู่กรุ๊ป ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทต้นเหตุผู้ผลิตนมผงมรณะดังกล่าวต้องเรียกเก็บสินค้าคืน และประธานบริษัทก็ถูกรวบตัวเพื่อขยายผลดำเนินคดีต่อ
หากยังจำกันได้ สินค้าที่ผลิตในประเทศจีนนั้นมีปัญหาด้านคุณภาพบ่อยครั้ง โดยเฉพาะสินค้าสำหรับเด็ก เช่นการที่บริษัทแมตเทลต้องเรียกสินค้าที่เป็นของเล่นสำหรับเด็กในอเมริกาคืนทั้งหมดเมื่อปีก่อน หลังจากที่พบการปนเปื้อนของสารตะกั่วในสีที่ใช้ในของเล่นซึ่งมีปริมาณมากกว่าที่กำหนดไว้ถึง 180 เท่า และเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมานี้ ก็พบว่ามีเด็กทารกที่ล้มป่วยจากโรคนิ่วในไตถึงกว่าหกพันคน และมีสามคนที่เสียชีวิตจากสาเหตุเดียวกัน ซึ่งเป็นผลมาจากการดื่มนมที่ปนเปื้อนสารเมลามีน
สารเมลามีนคืออะไร
สารเมลามีน คือสารเคมีที่ใช้ผสมในการผลิตเม็ดพลาสติก และพบในยาฆ่าแมลง ซึ่งเมื่อถูกความร้อนแล้วอาจมีสารฟอร์มัลดิไฮด์ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายแพร่กระจายออกมา คณะกรรมการอาหารและยา และกระทรวงสาธารณสุขของไทยเคยแถลงการณ์ร่วมกันเกี่ยวกับอันตรายของสารเมลามีนที่ใช้ในภาชนะใส่อาหาร ตั้งแต่เมื่อปีพ.ศ. 2547 ว่า อะมิโนเรซินที่เป็นโพลิเมอร์ของเมลามีนกับฟอร์มัลดีไฮด์นี้ หากมีการนำไปใช้ไม่ถูกต้อง อาจทำให้ผู้บริโภคได้รับอันตรายจากสารฟอร์มัลดีไฮด์ที่เป็นสารก่อมะเร็งในระบบทางเดินหายใจได้
และในกรณีที่พบสารเมลามีนปนเปื้อนในนมผงสำหรับทารกนี้ ทางสื่อของจีนรายงานว่าบริษัทผู้ผลิตนมผงจีนบางรายนำสารดังกล่าวมาใส่ในนมเพื่อเพิ่มความเข้มข้น ซึ่งบริษัทผู้ผลิตบางรายก็โต้ว่าเกษตรกรเป็นผู้เติมสารอันตรายนี้เข้าไปเอง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การมีสารเมลามีนปนเปื้อนในนมผงนี้ ก็ทำให้เด็กที่บริโภคเข้าไปเกิดอาการเป็นนิ่วในไต ซึ่งเกิดจากการที่ตะกอนของเมลามีนซึ่งเป็นสิ่งแปลกปลอมไม่สามารถย่อยสลายได้นั้นเดินทางเข้าไปสู่ระบบการย่อยอาหารพร้อมกับน้ำนม
มาตรการการจัดการของจีนต่อผู้ผลิตนมผงผสมสารปนเปื้อน
หลังจากที่พบว่ามีเด็กทารกล้มป่วยและเสียชีวิตจากการที่ดื่มนมปนเปื้อนสารเมลามีนไปแล้ว ทางการจีนก็มีมาตรการในการจัดการเหตุสลดดังกล่าวโดยสั่งปลดเจ้าหน้าที่ของรัฐจำนวนสี่รายในแคว้นเหอเป่ย ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของบริษัทซานลู่ หนึ่งในบริษัทที่ผลิตนมอันตรายดังกล่าว นอกจากนี้ตำรวจจีนก็รวบตัวประธานบริษัทซันลู่ ไว้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน ที่ผ่านมา ในขณะเดียวกันบริษัทซันลู่ก็ได้เรียกเก็บสินค้าจากทั่วประเทศคืนเป็นการด่วนอีกด้วย
จากกรณีนี้ ทางการจีนจึงได้เริ่มตรวจสอบกรณีนี้อย่างจริงจังไปทั่วประเทศ และพบว่ามีอีก 22 บริษัทที่ผลิตนมปนเปื้อนสารเมลามีนนี้ด้วยเช่นกัน
หน่วยงานด้านการตรวจสอบคุณภาพอาหารของจีนก็ได้เปิดเผยว่า บริษัทกวางตุ้ง ยาชิลี กรุ๊ป และฉิงเดา ซันแคร์ ซึ่งได้ส่งออกผลิตภัณฑ์นมผงให้แก่หลายประเทศ ก็ได้ระงับการส่งออกผลิตภัณฑ์นมของตนแล้ว
อย. ไม่พบผลิตภัณฑ์นมผงจากจีนปนเปื้อนสารเมลามีนในไทย
ทางด้านประเทศไทย นายชวรัตน์ ชาญวีรกุล รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เร่งตรวจสอบผลิตภัณฑ์นมผงทุกชนิดที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากประเทศจีน ที่พบมีปัญหาอยู่ในขณะนี้ ซึ่งผลการตรวจสอบไม่พบการนำเข้าแต่อย่างใด ทั้งนี้ได้กำชับให้กองงานด่านอาหารและยา เฝ้าระวังการนำเข้าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นพิเศษ รวมทั้งผลิตภัณฑ์นมที่นำเข้าจากประเทศต่างๆ และยี่ห้ออื่นๆ ด้วย เพื่อป้องกันความปลอดภัยให้แก่เด็กทารกในประเทศ โดยถ้ามาจากแหล่งกำเนิดตามที่เป็นข่าว ให้อายัดและเก็บตัวอย่างมาวิเคราะห์ พร้อมเรียกร้องให้หันมาให้ความสำคัญในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพราะนอกจากปลอดภัยต่อทารกแล้ว ยังรับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเด็กอีกด้วย
นมผงจีนกับนมโคไทย
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา โชค บูลกุล กรรมการผู้จัดการกลุ่มบริษัท ฟาร์มโชคชัย จำกัด เปิดเผยว่า ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์นมของไทย หันมานำเข้านมผงราคาถูกจากจีน ซึ่งมีคุณภาพต่ำในปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อทดแทนการนำเข้านมผงจากออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ แต่นมผงจากจีนไม่มีคุณภาพ จึงต้องการให้โรงงานผลิตน้ำนมและผู้บริโภคควรให้ความระมัดระวัง
ทั้งนี้ เมื่อหลายปีก่อน เคยมีการประท้วงของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม โดยการนำน้ำนมดิบมาเททิ้ง เพราะผลิตออกมาแล้วไม่มีผู้รับซื้อ และถูกกดราคาจนต่ำเกินกว่าจะรับได้มาแล้ว
อันที่จริงแล้ว การเกิดวิกฤตด้านคุณภาพนมของจีนนี้ น่าจะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมของไทย ซึ่งถือว่ามีคุณภาพกว่า สามารถฟื้นตัวได้อีกครั้ง และหากภาครัฐให้ความใส่ใจอย่างเพียงพอ อุตสาหกรรมนมโคไทย ก็อาจจะพัฒนา และขยายตัวได้มากกว่านี้อย่างแน่นอน อีกทั้ง การเกิดวิกฤตด้านคุณภาพสินค้าของจีนในครั้งนี้ น่าจะเป็นตัวกระตุ้นจิตสำนึกให้ผู้ผลิตทั่วโลกคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคมากกว่าการแสวงหาผลกำไรได้อีกด้วย แหล่งข้อมูล

Saturday, September 20, 2008

Information Literacy

Information literacy life cycle

สูตรการเมืองใหม่

“ผู้จัดการรายสัปดาห์” ได้จัดเสวนาร่วมกับนักวิชาการ และนักธุรกิจชื่อดัง อาทิ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ นักวิชาการอิสระ, ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดี สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, ปรีดา เตียสุวรรณ์ นักธุรกิจแถวหน้าของเมืองไทย, เกียรติพงศ์ น้อยใจบุญ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอกรัฐวิศวกรรม จำกัด (มหาชน), มนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เพื่อหาทางออกให้กับการเมืองของไทยที่กำลังบอบช้ำเสียหายอย่างนี้ว่า แนวทางของ “การเมืองใหม่” ที่เหมาะกับเมืองไทยจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร

สูตรหนึ่ง
ลดผู้แทนแบ่งเขต
เพิ่มผู้แทนกลุ่มอาชีพ


สูตรนี้จะว่าไปแล้วไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด เพราะการเมืองภาคประชาชนเป็นเรื่องพูดกันมานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นประชาธิปไตยในชุมชน ประชาธิปไตยในท้องถิ่น เพียงแต่ภาพเริ่มเห็นชัดเจนมากขึ้น-มากขึ้น จากการเข้าร่วมชุมนุมของประชาชนที่เวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

ดร.เอนก เสนอว่าสูตรนี้แบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก เป็นเรื่องของเลือกตั้งที่ประชาชนมีส่วนร่วมเช่นเดิม เพียงแต่ลดจำนวนผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตพื้นที่ หรือ Territorial Representative ลง แล้วให้เพิ่มผู้แทนที่มาจากสายอาชีพ หรือ Functional Representative หรือ Occupational Representative ขึ้นมา เช่น จากเดิมผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้งจากแบ่งเขตพื้นที่อาจจะมี 400 คน ให้เหลือเพียง 200 คน ที่เหลือให้คัดเลือกจากตัวแทนกลุ่มอาชีพต่างๆ เช่น แพทย์ พยาบาล สถาปนิก ชาวนา หรือกรรมกร เป็นต้น

“สัดส่วนเป็นแค่ตุ๊กตา แต่คิดว่ามันน่าจะเท่าๆกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสส.แบ่งเขต ส่วนปาร์ตี้ลิสต์ถ้าอยากจะมีก็ให้เป็นครึ่งหนึ่งของ สส. ทั้ง 2 ประเภทนั้น

ที่ผมคิดอย่างนี้เพราะอยากแหกกรอบความคิดในปัจจุบันที่เป็นการ Represent โดยใช้พื้นที่ เช่น เขตละ 3 คน ถ้าเราเห็นเนื้อหาในการคุยในสภาก็ไม่มีเรื่องอะไร เพราะมันไม่มีตัวแทนอาชีพที่หลากหลายคอยเสนอ คอยปกป้องผลประโยชน์ของแต่ละฟังก์ชั่น ดังนั้นแบบนี้ก็ไม่เลว”

ในส่วนแรกนี้ เกียรติพงศ์ ให้ความเห็นเสริมว่า สิ่งสำคัญของสูตรนี้คือ จะต้องมีกฎเกณฑ์ควบคุมอีกชั้นหนึ่งว่า การจะคัดเลือกสมาคมวิชาชีพนั้นมีวิธีการคัดเลือกอย่างไร มิเช่นนั้นทุกคนก็สามารถตั้งเป็นสมาคมวิชาชีพได้หมด จากนั้นก็ใช้ความเป็นพวกเลือกคนของตนเองเข้ามา ดังนั้น จึงต้องขึ้นทะเบียนก่อนว่าอาชีพไหนต้องถูกคัดเข้ามาก่อน และต้องมีขั้นตอนในการเลือก เช่น อาจใช้วิธีพิจารณาจากตัวเลขการเสียภาษี สมาคมไหนเสียภาษีมากที่สุดตั้งแต่ 1-100 เป็นต้นไปมีสิทธิ์เสนอคนของตนเองขึ้นมาโดยแต่ละสมาคมมีสิทธิ์ออกเสียงเพียงเสียงเดียวเท่านั้น ซึ่งจะทำให้เป็นประชาธิปไตย

ปรีดา ให้ทัศนะเพิ่มอีกว่า การเลือกแบบทางตรง (การเลือกตั้งแบบแบ่งเขต) เท่ากับเป็นการยอมรับสิทธิถึงความเป็นเจ้าของประเทศ เพื่อทำให้เกิดการมีส่วนร่วม อันนี้เราต้องให้เป็นหลัก ส่วนทางสายอาชีพที่เรียกว่าทางอ้อม มันดีที่ว่าจะเป็นการดันคนที่มีความรู้ทางสายอาชีพที่เป็นพลังทางด้านเศรษฐกิจจริงๆเข้ามา ถ้าได้พวกนี้เข้ามาจำนวนหนึ่งก็จะมาสร้างความเข้าใจในสภาผู้แทนราษฎร ไม่ว่าเรื่องสังคมเฉพาะอย่างในกรณีมีเอ็นจีโอเข้ามา มันจะมีความรู้ที่แน่นอนเฉพาะกลุ่ม เมื่อประสานความรู้จากคนที่ได้มาจากทางตรง ซึ่งจะเข้าใจปัญหาของชาวบ้าน ปัญหาสังคมท้องถิ่นได้ดีกว่า

“มันเป็นกระบวนการสมบูรณ์แบบ ถ้าคุณใช้ทางตรงอย่างเดียวเข้ามาก็เสียคือจะไม่มีองค์ความรู้เลย ผมมองว่าทางอ้อมจะช่วยให้มีองค์ความรู้มากขึ้นในสภา”

ส่วนที่สอง ด้านการตรวจสอบ ต้องให้ผู้แทนประชาชนที่มาจากการเลือกตั้งสามารถถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวด เข้มข้นทั้งจากประชาชน และองค์กรอิสระที่ตั้งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น คณะกรรมการการเลือกตั้ง ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม การเมืองใหม่สูตรนี้ใช่ว่าจะทำให้การเมืองบ้านเราสะอาด บริสุทธิ์ ยุติธรรม ใสสะอาด ดังที่เราวาดหวัง เพราะหลายคนในวงเสวนาเชื่อว่า อีกไม่นานก็จะมีการซื้อเสียงในสภาเกิดขึ้นอีก เพียงแต่สูตรนี้มีความหลากหลายในกลุ่มอาชีพมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้มีการคานอำนาจ และถ่วงดุลอำนาจกันได้ดีขึ้น

สูตรที่สอง
นักการเมืองเลิกสังกัดพรรค


การที่ผู้สมัคร สส. ต้องสังกัดพรรคเป็นการลดความเป็นอิสระทางด้านความคิดเห็นทางการเมืองของ สส. แต่ไปเพิ่มดำนาจการต่อรองให้กับผู้มีอำนาจในพรรคการเมือง ซึ่งก็คือนายทุนพรรคนั่นเอง และการสังกัดพรรคการเมืองในปัจจุบันกลายเป็นความจำเป็นทางการเมือง มากกว่าจะเกิดจากการร่วมกิจกรรมทางการเมือง เพราะมีอุดมการณ์ทางการเมืองร่วมกัน พรรคการเมืองจึงเป็นเสมือนบริษัทใหญ่ที่นักการเมืองต้องแย่งกันมาสมัครเป็นพนักงาน จนท้ายสุดเกิดการผูกขาดตลาดการเมืองด้วยบริษัทยักษ์ใหญ่เพียง 2-3 บริษัท ส่งผลให้พ่อค้ารายเล็กรายน้อยไม่สามารถประกอบธุรกรรมทางการเมืองได้

“มันต้องเลิกการครอบงำ สส.โดยพรรค รัฐธรรมนูญหลายฉบับของเราบังคับ สส. ต้องสังกัดพรรค และมีระเบียบ กฎเกณฑ์ต่างว่า ถ้าสส.ถูกขับออกจากพรรคก็จะถูกขับออกจากสมาชิกภาพด้วย อันนี้มันเป็นปัญหาของการเมืองแบบเก่าของเราที่พรรคคุมสส.ไม่ได้ มีการไปซื้อขายเสียงในห้องน้ำ มันก็เลยมีการแก้ไปอีกแบบทำให้กลายเป็นถ้าเป็นคนที่มีเงินมากๆไปเป็นหัวหน้าพรรคด้วย อำนาจเงินทำให้ สส.กลายเป็นคนที่น่ารังเกียจ และน่าขบขัน ทุกคนพูดแล้วเหมือนหุ่นยนต์หมด เพระทุกเรื่องมันพูดมาจากที่พรรคหมดแล้ว ถ้าอยากเจริญก้าวหน้าต้องพูดตามแนวพรรค มิเช่นนั้นคราวหน้าจะไม่ส่งลง จึงอาจต้องกลับไปสู่มาตรฐานแบบเดิมของไทย หรือมาตรฐานสากลที่ส่วนใหญ่บอกว่า สส.ไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรคก็ไม่เลว”

สูตรที่สาม
แยกบริหาร-นิติบัญญัติ
ผู้นำมาจากการเลือกตั้ง


ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่าสูตรการเมืองใหม่แบบนี้ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ใหม่เอี่ยมถอดด้าม เพราะเป็นสิ่งเมืองไทยใช้กันอยู่แล้ว ทั้งการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานคร เลือกตั้งเทศบาล นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด นายกองค์การบริหารส่วนตำบล เพียงแต่คราวนี้ยกระดับการคัดเลือกขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี

บางคนที่ชอบมองโลกในแง่ร้าย ชอบจับผิดอาจบอกว่า การเสนอการเมืองใหม่ในสูตรนี้ขึ้นมาเพื่อดันประเทศไทยเข้าสู่การปกครองในระบอบประธานาธิบดี ต้องการล้มล้างระบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ซึ่งขอออกตัวมา ณ ที่นี้ก่อนว่า แนวคิดที่กลุ่มผู้เสวนาเสนอออกมาครั้งนี้ไม่ได้มีเจตนา หรือวัตถุประสงค์ไปในแนวทางนั้น เพราะท้ายที่สุดผู้ที่ได้รับการคัดเลือกขึ้นมาในตำแหน่งผู้นำประเทศนั้นต้องเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ และได้รับพระราชทานโปรดเกล้าฯ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

แนวทางนี้เสนอขึ้นเพื่อลดปัญหาว่านายกรัฐมนตรีไม่ต้องมาจากสภาฯ เพื่อให้นายกฯไม่ต้องเป็นเบี้ยล่างให้กับบรรดา สส. ซึ่งจะว่าไปแล้วหลักการนี้เป็นหลักการที่หลายประเทศทั่วโลกใช้กันอยู่

สูตรนี้เสนอว่าให้นายกฯ หรือหัวหน้าฝ่ายบริหารมาจากการเลือกตั้งทั้งหมดทั้งสิ้น คล้ายกับการเลือกตั้งท้องถิ่นที่ใช้กันอยู่แล้วในปัจจุบัน เพียงแต่ที่ต้องขยับมาถึงระดับผู้นำประเทศก็เพื่อให้มีหลักประกันในการบริหาร ประเด็นสำคัญของสูตรนี้มีอยู่ว่า เนื่องจากเมืองไทยมีสภาวิชาชีพ หรือสมาคมวิชาชีพ เอาเฉพาะที่มีกฎหมายรองรับเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ดังนั้น ใครก็ตามที่สมัครเป็นผู้นำประเทศได้รับการรับรองจากสภาวิชาชีพ โดยให้สมาชิกที่มีเป็นจำนวนมากของสมาคมนั้นๆเป็นผู้เลือกตั้งอีกที เมื่อได้แล้วรัฐบาลจะออกค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งให้ ส่วนพรรคการเมือง หรือผู้สมัครอิสระคนอื่น หากต้องการส่งผู้สมัครของตนเองก็สามารถทำได้แต่รัฐบาลจะไม่ออกเงินสนับสนุนให้ จากนั้นจึงค่อยเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งเพื่อให้ผู้สมัครแต่ละคนสามารถแสดงนโยบายต่างๆได้

“ในการหาเสียงรัฐจะจ่ายให้ แต่อย่าไปห่วงว่ารัฐจ่ายเงินให้แล้วเป็นการถลุงเงินภาษี เพราะเอาคนโกงเข้ามาจะโดนกินไปกี่แสนล้าน มันเปรียบเทียบไม่ได้เลย แต่คัดเลือกก่อนทำให้มั่นใจว่าเราได้คนที่ดีจริง ให้ผ่านกระบวนการสรรหา”

เมื่อได้รับเลือกแล้วทางผู้นำประเทศคนใหม่จะเป็นคนเสนอรายชื่อรัฐมนตรีเพื่อดูแลงานในกระทรวงต่างๆ แต่บุคคลที่ถูกเสนอชื่อจะต้องผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติ และความเหมาะสมจากฝ่ายนิติบัญญัติก่อน

ไม่เพียงเท่านั้น สูตรนี้ยังลงรายละเอียดไปถึงการคัดเลือกผู้แทนราษฎรเพื่อมาทำหน้าที่ในฝ่ายนิติบัญญัติด้วย เช่น หากต้องการสส. ที่ดูดี มีความรู้ มีคุณธรรม ก็อาจต้องกำหนดคุณสมบัติของผู้สมัครให้เข้มขึ้นอีก หรือนำแนวคิดเดียวกับการคัดเลือกฝ่ายนบริหารเข้ามาใช้ ด้วยการให้ผู้สมัคร สส. ต้องผ่านสภาวิชาชีพรับรองก่อน ถ้าได้รับการรับรองแล้วรัฐบาลจะเป็นผู้ออกเงินค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งให้ ขณะที่คนอื่น หรือผู้สมัครจากพรรคการเมืองจะมาสมัครก็ได้แต่ต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเอง

“มันเป็นหลักการของรูปแบบการแบ่งแยกอำนาจที่เขาทำอยู่แล้ว แต่บ้านเรากลัวระบบประธานาธิบดี แล้วไปติดชื่อตรงนี้ก็เลยกลัว ซึ่งจริงๆ การเมืองท้องถิ่นเราเอามาใช้หมดแล้ว และอำนาจของนายกฯ เราเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญให้ชัดเจนว่ามีหน้าที่เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารรับสนองพระบรมราชโองการ มันจะไม่มีส่วนไหนเลยที่จะไปเกี่ยวข้องกับการทำลาย หรือล้มล้างระบอบพระมหากษัตริย์ เพราะถือเป็นองค์พระประมุข ซึ่งต้องเขียนให้ชัดเจน”

ในวงเสวนายังเสนอเพิ่มเติมด้วยว่า ไม่ใช่เฉพาะรัฐมนตรีที่ได้รับการเสนอชื่อเข้ามารับตำแหน่งเท่านั้นที่ต้องถูกตรวจสอบ แต่ข้าราชการการเมืองระดับสูง เช่น ปลัดกระทรวง อธิบดี หากได้รับการเสนอชื่อต้องผ่านการไต่สวนสาธารณะของสภาผู้แทนเสียก่อน และที่สำคัญในการอภิปรายไม่ไว้วางใจทั้งในระดับสภาผู้แทน หรือคณะกรรมาธิการแต่ละคณะต้องมีอัยการอิสระเข้ามาคอยฟังการไต่สวน หากฟังว่ามีมูลว่าทุจริตสามารถสืบสวน และส่งต่อเพื่อฟ้องศาลได้เลยทันที

สูตรที่สี่
เลือกแบบจังหวัดสกัดซื้อเสียง


สำหรับสูตรนี้ยังเป็นสูตรการเลือกตั้งแบบที่เป็นกันอยู่ทุกวันนี้ เพียงแต่มีการเปลี่ยนการเลือกตั้งใหม่จากเดิมที่เป็นเลือกในระดับเขต แต่ละเขตมีผู้แทนได้ 1-2-3 คน แล้วแต่จำนวนประชากร มาเป็นการเลือกในระดับจังหวัด เหมือนกับการเลือกตั้งของกรุงเทพฯ เพื่อให้โอกาสการซื้อเสียงยากขึ้น เนื่องจากต้องซื้อทั้งจังหวัด ไม่ใช่แค่ 2-3 อำเภอเหมือนที่ผ่านมา เสร็จแล้วจัดอันดับ ใครได้คะแนนเสียงสูงสุดของจังหวัดได้รับเลือกเป็นผู้แทนราษฎร

อย่างไรก็ตาม สูตรนี้ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่ว่า แม้จะได้รับเลือกตั้งแต่จะไม่มีสิทธิ์ขึ้นเป็นรัฐมนตรี ซึ่งข้อจำกัดทั้ง 2 ประการนี้จะทำให้สิ่งที่จะมาจูงใจการซื้อเสียงน้อยลง เพราะลงทุนมากแต่ไม่สามารถเป็นรัฐมนตรีได้ เพราะฝ่ายบริหารจะเป็นผู้จัดตั้งกันเอง ขณะที่ฝ่ายนิติบัญญัติมีหน้าที่ออกกฎหมายเพียงอย่างเดียว

“เราต้องตัดโอกาสก่อนด้วยการดูที่ระบบของมัน ดังจะเห็นได้จากการเลือกสมาชิกวุฒิสภากรุงเทพฯ ทำไมรสนา (โตสิตระกูล) ได้อันดับ 1 เพราะโอกาสซื้อเพื่อให้ชนะมันซื้อยากขึ้น เพราะเขตที่ใหญ่ทำให้ซื้อยากขึ้น แต่นี่เอาทั้งจังหวัดเลย”

ปรับจริยธรรม คุณธรรม
นักการเมืองศรีธนญชัย

อย่างไรก็ตาม เป็นที่เชื่อกันในวงเสวนาว่าไม่ว่าการออกแบบการเมืองใหม่จะสวยหรู หรือเป็นที่น่าชื่นชมว่าสามารถสกัดกั้นวงจรอุบาทว์ไม่ให้ฟื้นคืนชีพได้ดีเพียงไร แต่หากนำมาใช้กันจริงๆเมื่อไร นักการเมืองไทยก็สามารถดิ้น และหานวัตกรรมการโกง ออกมาได้อย่างแนบเนียนทุกครั้งทุกครา ดังเช่น กรณีรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่แม้ว่าหลายคนจะบอกว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุดเท่าที่เมืองไทยเคยมีมา แต่ในที่สุดนักการเมืองไทยก็สามารถหาช่องทุจริตจนได้

เรื่องนี้ มนตรีมองว่า จริงแล้วรัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่ในปัจจุบันก็ดีอยู่แล้ว เพราะเสียงของประชาชนยังเป็นวิธีดีที่สุดเนื่องจากเป็นวิธีที่ประชาชนมีส่วนร่วม และเป็นธรรมทั่วถึงกันเพียงแต่ที่ผ่านมาที่การเมืองบ้านเรามีปัญหาเพราะระบบในการบังคับใช้ (Enforcement) ของกฎหมายยังไม่เกิดขึ้นอย่างเต็มที่

“ผมนึกภาพอื่นไม่ออก การเลือกตั้งโดยไม่มีพรรคมันก็ไปจับพรรคกันอยู่ดี โดยเฉพาะพวกที่ซิกแซ็ก เรามักจะเห็นว่าหากต้องการหลักฐานเรื่องค่าจ้างก็ไปทำเป็นจ่ายค่ารถ ค่าน้ำมัน กันไม่ให้ถือหุ้นก็ไปถือผ่านลูก คือมันคิดได้ตลอด พอเรากำหนดระบบว่าคุณห้ามอยู่กันเป็นพรรค ดูอย่างสมาชิกวุฒิสภาที่ผ่านมาที่ไม่ให้สังกัดพรรคก็ไปตั้งเป็นเมียกับลูกของคนที่อยู่ในพรรค ฉะนั้น อย่าไปกำหนดกฏเลย”

มนตรี บอกว่า ผมมองว่าการเมืองใหม่ที่แท้จริงเป็นเรื่องในเชิงจิตใจ คือ การที่ทุกคนต้องเข้าใจว่าประชาธิปไตย ไม่ใช่แค่ที่มาซึ่งการมารับใช้ประเทศชาติในตำแหน่งที่มีอำนาจสูงสุด แต่เป็นเรื่องของการควบคุมกำกับ เพื่อให้การใช้อำนาจนั้นอยู่ในทิศทางที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นเวลามีความผิดแล้วนักการเมืองกระทำผิดมันไม่ใช่เรื่องที่ว่าผมมาจากการเลือกตั้ง มันต้องเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องยอมรับว่า มาจากการเลือกตั้งแล้วถ้าทำผิดก็จะต้องรับ และควรลงจากอำนาจ

“ ถ้าทุกคนมีค่านิยมตรงนี้ที่ชัดเจนมากขึ้น ผมเชื่อว่านั่นคือความสว่าง นั่นคือการเมืองใหม่” แหล่งข้อมูล

A profile of student performance in reading and mathematics from PISA 2000 to PISA 2006

PISA at three-year intervals

The PISA survey is conducted every three years to assess the knowledge and skills of students aged 15 in reading, mathematics and science. The main focus of the first (PISA 2000) was reading and in the second (PISA 2003) mathematics, while this latest, PISA 2006, focused on science.
In PISA "science literacy" means young people's ability to use scientific knowledge and skills in different areas and in different life situations. PISA 2006 also studied students' beliefs and attitudes towards scientific issues and towards scientific thinking and reasoning. Another aspect studied was the students' understanding of their responsibility for sustainable development and their optimism as to their chances of influencing it.

The aim in PISA is to assess how well students master knowledge and skills necessary for life in future society, for the development of working life, and for the quality of life. The primary focus is not on how well they have mastered curricular contents and attained objectives but how well they can apply their knowledge and skills in real life situations. Source

Building on the PISA analyses, Reading for change identifies some of the factors that are behind differences in students' reading literacy performances. Among other things, it shows that:

Even in countries in which there is generally a high level of reading proficiency, some 15-year-olds lack the reading skills necessary for living in modern society. Reading proficiency is closely linked to the amount of time students spend reading in their free time and the diversity of materials they read.
While the degree of engagement in reading varies considerably from one country to another, 15-year-olds from disadvantaged backgrounds who read a lot get higher average reading scores than those whose parents are of high or medium occupational status but who have little interest in reading. This suggests that finding ways to engage students in reading may be one of the most effective ways to leverage social change.
Although the relationship between reading performance and student and school backgrounds varies from one country to another, some countries display similarities in the way student and school-context variables interact with reading. School systems that differentiate between pupils through institutionalised streaming at early ages tend to produce lower reading performances while failing to moderate the impact of social background on student attainment. Source

Key findings

Finland, with an average of 563 score points, was the highest-performing country on the PISA 2006 science scale.
Six other high-scoring countries had mean scores of 530 to 542 points: Canada, Japan and New Zealand and the partner countries/economies Hong Kong-China, Chinese Taipei and Estonia. Australia, the Netherlands, Korea, Germany, the United Kingdom, the Czech Republic, Switzerland, Austria, Belgium and Ireland, and the partner countries/economies Liechtenstein, Slovenia and Macao-China also scored above the OECD average of 500 score points.
On average across OECD countries, 1.3% of 15-year-olds reached Level 6 of the PISA 2006 science scale, the highest proficiency level. These students could consistently identify, explain and apply scientific knowledge, and knowledge about science, in a variety of complex life situations. In New Zealand and Finland this figure was at least 3.9%, three times the OECD average. In the United Kingdom, Australia, Japan and Canada, as well as the partner countries/economies Liechtenstein, Slovenia and Hong Kong-China, between 2 and 3% reached Level 6. Source

คนกรุงเทพฯกับเทศกาลกินเจปี 2551

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สำรวจพฤติกรรมการบริโภคอาหารเจในช่วงเทศกาลกินเจมาอย่างต่อเนื่อง ปี 2551 สำรวจในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล หัวข้อ “คนกรุงเทพฯกับเทศกาลกินเจปี 2551” กลุ่มตัวอย่าง 377 คน วันที่ 8-15 กันยายน 2551

บรรยากาศในการกินเจปี 2551 นี้คาดว่าจะไม่ค่อยคึกคักเช่นเดียวกับในปีที่ผ่านๆมา แม้ว่าจะมีคนไทยที่ตั้งใจจะกินเจมากกว่าปีที่แล้ว ทั้งเพื่อการทำตามประเพณี เพื่อรักษาสุขภาพ และตั้งใจทำบุญเพื่อชำระล้างกายใจ แต่ด้วยภาวะบีบรัดทางเศรษฐกิจ ทำให้คนกรุงเทพฯที่ตั้งใจจะกินเจนั้นเน้นเรื่องความประหยัด จึงจับจ่ายด้วยความระมัดระวังกว่าปีที่ผ่านมา

รวมทั้งความเครียดจากเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองที่ยืดเยื้อมานานเกือบ 4 เดือน ทำให้ไม่มีอารมณ์ร่วมในการทำกิจกรรมต่างๆ แต่ด้วยราคาสินค้ามีแนวโน้มสูงขึ้นเทียบกับปีที่ผ่านมา ทำให้เม็ดเงินสะพัดในธุรกิจกินเจในกรุงเทพฯปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 2,100 ล้านบาท ซึ่งเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาจะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 8.2

แม้ว่าในปีนี้ผู้ที่บริโภคอาหารเจจะเน้นประหยัด แต่ด้วยราคาวัตถุดิบที่นำมาประกอบอาหารเจสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะผัก ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในการประกอบอาหารเจ จากการสำรวจพบว่าคนกรุงเทพฯที่เป็นกลุ่มตัวอย่างคาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายในการรับประทานอาหารเจเฉลี่ยประมาณวันละ 100-120 บาท/คน ซึ่งใกล้เคียงกับค่าใช้จ่ายเฉลี่ยเมื่อเทียบกับในปี 2550 เมื่อนำมาคำนวณโดยอิงกับพฤติกรรมการบริโภคอาหารเจแล้ว

คาดว่ามูลค่าของธุรกิจอาหารเจในกรุงเทพฯในปี 2551 ประมาณ 2,100 ล้านบาทเฉพาะในช่วงเทศกาลกินเจ 9 วัน เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 8.2 เมื่อเทียบกับในปี 2550 ซึ่งนับว่าอัตราการขยายตัวของมูลค่าตลาดอาหารเจในปีนี้ต่ำกว่าเมื่อปีก่อนที่มีอัตราการขยายตัวเกือบร้อยละ 10.0 ทั้งนี้ เนื่องจากคนกรุงเทพฯที่เป็นกลุ่มตัวอย่างเน้นประหยัด และอยู่ในภาวะที่ไม่มีอารมณ์ร่วมในการที่จะเข้าร่วมกิจกรรมใดๆ ของเหตุการณ์ความเครียดจากความวุ่นวายทางการเมือง

ปัจจัยที่ยังคงเอื้ออำนวยในการเติบโตต่อธุรกิจอาหารเจในปี 2551 ที่สำคัญ

1.จำนวนคนกรุงฯรับประทานอาหารเจมากขึ้น แต่เลือกวันและเลือกมื้อ ทั้งนี้ สาเหตุสำคัญเนื่องจากคนไทยหันมาสนใจในเรื่องการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการรับประทานอาหารเจเพื่อที่จะได้ทำตามประเพณีขอร่วมกินเจทำบุญล้างกายและล้างใจ โดยการละเว้นการรับประทานเนื้อสัตว์เท่ากับเป็นการลดการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อย่างไรก็ตาม ความเครียดจากความวุ่นวายทางการเมือง และภาวะเศรษฐกิจภาคครัวเรือนที่บีบรัด จากปัญหาราคาสินค้าที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลจากราคาน้ำมัน รวมทั้ง ความรู้สึกไม่มั่นคงในการจ้างงาน เนื่องจากหลายกิจการ โดยเฉพาะบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กเริ่มประสบปัญหาด้านสภาพคล่องทางการเงิน จากการที่ต้นทุนการผลิตมีแนวโน้มสูงขึ้น

2.การบริโภคอาหารเจสำเร็จรูป/อาหารเจกึ่งสำเร็จรูปมากขึ้น จากการสำรวจของ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด พบว่าปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้ออาหารเจของคนกรุงเทพฯที่เป็นกลุ่มตัวอย่างคือ ราคาไม่แพง คุณภาพ และสะอาด ซึ่งอาหารเจสำเร็จรูป/อาหารเจกึ่งสำเร็จรูปสามารถตอบสนองความต้องการเหล่านี้ได้ กล่าวคือ อาหารเจสำเร็จรูป/อาหารเจกึ่งสำเร็จรูปมีความสะดวกในการเลือกซื้อ เนื่องจากมีจำหน่ายทั่วไป ทำให้หาซื้อได้ไม่ยาก และราคาไม่แพง รวมทั้งยังมีให้เลือกหลากหลายเมนู และผู้ผลิตหลากหลายยี่ห้ออีกด้วย รวมทั้งบรรดาผู้ผลิตอาหารเจสำเร็จรูป/อาหารเจกึ่งสำเร็จรูปมีการคิดค้นเมนูอาหารเจหลากหลายเมนูเพื่อที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้า

3.ร้านอาหารเจสำเร็จรูปประเภทตักขาย/ตามสั่งต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรักษายอดขาย ร้านอาหารเจสำเร็จรูปประเภทตักขาย/ตามสั่งก็ต้องพลิกแพลงสูตรอาหารเช่นกัน เนื่องจากคาดว่าราคาวัตถุดิบในการประกอบอาหารเจ โดยเฉพาะผักต่างๆซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการประกอบอาหารเจคาดว่าจะมีราคาสูงขึ้น ผู้ขายอาหารเจกลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบค่อนข้างมากในปีนี้ เนื่องจากราคาวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้น แต่การปรับราคาเพิ่มขึ้นนั้นทำได้ยาก เนื่องจากมีคู่แข่งขันในตลาดค่อนข้างมากทั้งร้านอาหารเจสำเร็จรูปประเภทตักขาย อาหารเจสำเร็จรูปและกึ่งสำเร็จรูปที่เข้ามาแข่งขันในตลาดอาหารเจอีกหลายราย

ทางเลือกของร้านอาหารเจสำเร็จรูปประเภทตักขาย/ตามสั่งที่จะรักษายอดขายได้ในช่วงเทศกาลกินเจคือ เลือกวัตถุดิบ/หาแหล่งวัตถุดิบเพื่อลดต้นทุนในการผลิต ลดปริมาณอาหารลงเล็กน้อย หรือขึ้นราคาอาหารประมาณ 5-10 บาทต่อถุงหรือจาน โดยขอความเห็นใจลูกค้า อย่างไรก็ตาม ร้านอาหารเจสำเร็จรูปประเภทตักขาย/ตามสั่งบางราย ก็ตัดสินใจไม่ทำอาหารเจจำหน่ายในปีนี้ เนื่องจากทนแบกรับภาระต้นทุนไม่ไหวและไม่อยากให้ลูกค้าเสียความรู้สึก เมื่อขายอาหารเจในราคาแพงขึ้นจากเดิม รวมทั้งบางรายวิตกว่าจะไม่สามารถจำหน่ายได้ เนื่องจากลูกค้าบางส่วนหันไปรับประทานอาหารเจสำเร็จรูป/กึ่งสำเร็จรูปแทนเพิ่มขึ้น

หลากธุรกิจปรับกลยุทธ์…รับมือผู้บริโภคเน้นประหยัด กระตุ้นอารมณ์จับจ่าย

เทศกาลกินเจ วันที่ 29 กันยายนนี้ คาดว่าสภาพตลาดจะมีการแข่งขันอย่างรุนแรง เนื่องจากผู้ประกอบการต้องการกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ถดถอย และมุ่งเพิ่มยอดขายเพื่อให้ผลประกอบการปลายปีเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยรูปแบบการแข่งขันจะยังคงเป็นการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายตามจุดขาย จัดรายการส่งเสริมการจำหน่ายเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยตรง และพยายามลดต้นทุนทุกด้านเพื่อคงราคาสินค้าไว้ รวมถึงการเข้าสนับสนุนในชุมชนที่จัดพิธีกินเจ เช่น ภูเก็ต ตรัง เป็นต้น โดยในปีนี้ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยให้ความสำคัญกับการจัดเทศกาลกินเจในช่วงวันที่ 28 กันยายนถึง 7 ตุลาคมนี้ที่จังหวัดภูเก็ต ตรัง นครศรีธรรมราช และอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ทั้งนี้ คาดว่าจะมีส่วนกระตุ้นการท่องเที่ยวภาคใต้ให้ดีขึ้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากมาเลเซียและสิงคโปร์

ธุรกิจที่ได้รับอานิสงส์จากช่วงเทศกาลกินเจ ได้แก่

1.อาหารเจสำเร็จรูปและกึ่งสำเร็จรูป จากการสำรวจของ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด พบว่าในปีนี้คนกรุงเทพฯที่เป็นกลุ่มตัวอย่างหันมานิยมรับประทานอาหารเจสำเร็จรูปและกึ่งสำเร็จรูปมากขึ้น เนื่องจากอาหารเจประเภทนี้สามารถสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ อีกทั้งราคาค่อนข้างคงที่ เมื่อเทียบกับอาหารเจสำเร็จรูปประเภทตักขายที่ราคาจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตามราคาวัตถุดิบที่นำมาประกอบอาหารเจ ซึ่งบรรดาบริษัทผู้ผลิตเพิ่มความหลากหลายให้กับสินค้า เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภค สินค้าเหล่านี้ขายดิบขายดีอย่างมากในช่วงเทศกาลกินเจ เนื่องจากสามารถเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้บริโภคมากขึ้น สอดคล้องกับการดำเนินชีวิตของคนกรุงเทพฯที่ต้องทำกิจกรรมทุกอย่างแข่งกับเวลา นอกจากนี้ ผู้ผลิตยังมีการพัฒนาเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆเข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ทำให้อาหารเจสำเร็จรูปเป็นที่นิยมมากขึ้นในปัจจุบัน ตลาดอาหารเจสำเร็จรูปที่น่าสนใจ มีดังนี้

-อาหารเจกระป๋อง ซึ่งมีอัตราการเติบโตของตลาดไม่ต่ำกว่าร้อยละ 20-25 ในแต่ละปี คาดว่าตลาดอาหารเจกระป๋องเฉลี่ยในแต่ละปีสูงถึงกว่า 200 ล้านบาท

-อาหารเจสำเร็จรูปแช่เย็นแช่แข็ง รวมทั้งอาหารเจกึ่งสำเร็จรูป ผู้ที่ผลิตอาหารสำเร็จรูปหันมาพัฒนา เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในช่วงของเทศกาลกินเจ โดยยังคงอาศัยช่องทางการจัดจำหน่ายเดิมในการกระจายสินค้าเน้นการจัดจำหน่ายในซุปเปอร์มาร์เก็ตของห้างสรรพสินค้า และร้านสะดวกซื้อที่มีกระจายอยู่ทั่วไป ซึ่งในแต่ละช่วงที่มีเทศกาลกินเจยอดจำหน่ายสินค้าประเภทนี้ทำเงินให้กับผู้ผลิตอย่างงดงามทีเดียว นอกจากนี้ บริษัทผู้ผลิตอาหารเจสำเร็จรูปและกึ่งสำเร็จรูป ยังหันไปจับลูกค้าเป้าหมายที่รักษาสุขภาพโดยการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพและหลีกเลี่ยงการบริโภคเนื้อสัตว์ ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถมียอดจำหน่ายตลอดทั้งปี

2.อาหารเจสำเร็จรูปประเภทตักขาย/ตามสั่ง อาหารเจประเภทนี้ยังคงเป็นอาหารเจยอดนิยม ในปีนี้คาดว่ายอดจำหน่ายอาหารเจประเภทตักขายรวมไปถึงอาหารเจตามสั่ง จะมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากคาดว่าจะมีจำนวนพ่อ/แม่ค้าลดลง โดยเฉพาะพ่อ/แม่ค้ารายย่อยที่จะขายเฉพาะในช่วงเทศกาลกินเจ ส่วนพ่อ/แม่ค้าที่ตัดสินใจว่ายังจะจำหน่ายอาหารเจสำเร็จรูปประเภทตักขาย/ตามสั่ง ก็ต้องปรับกลยุทธ์อย่างมาก โดยเริ่มจากการขึ้นราคาอาหาร ทั้งนี้ คงต้องอาศัยการทำความเข้าใจกับลูกค้า การลดปริมาณอาหารเพื่อเฉลี่ยต้นทุนให้ต่ำลง โดยไม่ให้ขาดทุน หรือการพลิกแพลงสูตรอาหารโดยใช้วัตถุดิบที่ราคาไม่แพงทดแทนวัตถุดิบที่มีราคาแพง

ทั้งนี้ คนกรุงเทพฯที่เป็นกลุ่มตัวอย่างจะยังคงเลือกรับประทานอาหารเจสำเร็จรูปประเภทตักขาย/อาหารเจจานเดียว โดยเฉพาะการทานอาหารเจมื้อกลางวัน เนื่องจากสอดคล้องกับพฤติกรรมการรับประทานอาหารในช่วงปกติ ที่นิยมซื้ออาหารสำเร็จรูปประเภทตักขายอยู่แล้ว

โดยภาพรวมของตลาดอาหารเจสำเร็จรูปโดยเฉพาะอาหารเจสำเร็จรูปแช่เย็นแช่แข็ง อาหารเจกึ่งสำเร็จรูป และอาหารเจกระป๋องในปีนี้ยังคงเป็นที่นิยม คาดว่ายอดการจำหน่ายจะขยายตัวอยู่ในเกณฑ์สูง ในขณะที่การแข่งขันของธุรกิจอาหารเจโดยเฉพาะธุรกิจจำหน่ายอาหารเจสำเร็จรูปประเภทตักขายจะมีสูงมาก เนื่องจากผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น โดยเฉพาะอาหารเจกึ่งสำเร็จรูป และอาหารเจสำเร็จรูปแช่แข็ง

3.ร้านจำหน่ายส่วนประกอบของอาหารเจ แหล่งจำหน่ายเครื่องปรุงอาหารเจที่สำคัญและเป็นแหล่งใหญ่ที่เป็นที่รู้จักของคนกรุงเทพฯคือ ตลาดเก่าเยาวราช ซึ่งมีเครื่องปรุงอาหารเจให้เลือกมากมายหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นเครื่องปรุงอาหารเจทั่วๆ ไป ตลอดจนเครื่องปรุงอาหารเจสำหรับผู้ที่ยังละทิ้งรสชาติของอาหารปกติไม่ได้

บรรดาพ่อค้าก็คิดค้น“แป้งประดิษฐ์” ซึ่งเป็นการดัดแปลงให้ละม้ายคล้ายกับเนื้อสัตว์ประเภทต่างๆ ทั้งรูปร่าง และรสชาติ ไม่ว่าจะเป็นหมูเนื้อแดง เครื่องในหมู หมูสามชั้น เป็ด ไก่ และเนื้อปลา โดยที่ในช่วงปกติตลาดแป้งประดิษฐ์นี้ผู้ที่ซื้อหาไปรับประทานจะเป็นผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติ และในช่วงเทศกาลกินเจนั้นแป้งประดิษฐ์นี้จะขายดิบขายดีมากขึ้นด้วย อาหารเจที่ทำจากแป้งประดิษฐ์นี้นับว่าช่วยเพิ่มสีสันในการกินเจได้อย่างมาก

ลูกค้าที่เลือกไปจับจ่ายที่ตลาดเก่าเยาวราชคือ บรรดาพ่อ/แม่ค้าที่ต้องการซื้อวัตถุดิบเพื่อมาประกอบอาหารจำหน่าย เจ้าของร้านค้าปลีก และบรรดาชาวจีนที่อยู่ในย่านใกล้เคียง ซึ่งส่วนใหญ่จะไปเลือกซื้อสต็อกไว้ก่อนถึงช่วงเทศกาล ดังนั้นในช่วงวันที่ 27-28 กันยายนนี้จะมีผู้คนเนืองแน่นในย่านตลาดเก่าเยาวราช

ปัจจุบันบรรดาซุปเปอร์มาร์เก็ตตามห้างสรรพสินค้าต่างๆก็นับว่าเป็นแหล่งจับจ่ายที่ได้รับความนิยมของบรรดาครัวเรือนที่รับประทานอาหารเจ โดยมีความได้เปรียบจากการที่เป็นแหล่งจับจ่ายในปัจจุบันอยู่แล้ว และยังมีความสะดวกทั้งในแง่ของที่จอดรถ ที่ตั้งกระจายอยู่ทั่วไปทำให้ลูกค้าได้รับความสะดวกในการเดินทาง ความสะอาดของสถานที่และมีบริการที่นั่งรับประทาน รวมทั้งยังมีเครื่องปรับอากาศช่วยทำให้ลูกค้าไม่ต้องผจญกับอากาศร้อน ซึ่งบรรดาซุปเปอร์มาร์เก็ตและศูนย์อาหารในห้างสรรพสินค้าสามารถดึงลูกค้ารายย่อยเข้ามาจับจ่ายในช่วงเทศกาลกินเจได้อย่างมาก ประกอบกับบรรดาห้างสรรพสินค้ามีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการจำหน่ายในช่วงเทศกาลกินเจด้วย

นอกจากนี้ บรรดาร้านค้าที่จัดเป็นตลาดย่อยๆ ตามแหล่งชุมชนต่างๆ และบรรดาแผงผัก รวมทั้งร้านขายของชำ และร้านที่ขายเต้าหู้และของเบ็ดเตล็ดในตลาดสดก็พลอยขายดิบขายดีไปตามๆ กัน โดยเฉพาะเต้าหู้ในช่วงเทศกาลกินเจนั้นจะได้รับความนิยมมากเป็นพิเศษ ผู้ที่จะประกอบอาหารเจรับประทานเองที่บ้านต้องไปตลาดแต่เช้า หรือไม่ก็ต้องมีเจ้าประจำสั่งจองไว้ล่วงหน้าเลยทีเดียว

4.ร้านจำหน่ายน้ำเต้าหู้หรือนมถั่วเหลือง ผลจากการสำรวจพบว่าน้ำเต้าหู้และนมถั่วเหลืองบรรจุกล่องนั้น นับว่าเป็นอาหารเจยอดนิยมของคนไทย ธุรกิจจำหน่ายน้ำเต้าหู้ร้อนๆ บริโภคกับปาท่องโก๋จะขายดิบขายดีตลอดช่วงเทศกาลกินเจทั้งในช่วงเช้าและช่วงเย็น ส่วนบริษัทที่ผลิตนมถั่วเหลืองบรรจุกล่องต้องมีการขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากภาวะปกติถึง 3 เท่าตัวเพื่อรับมือกับช่วงเทศกาลกินเจ

5.ส่วนประกอบอาหารเจ ทั้งนี้ ส่วนประกอบอาหารเจที่ได้รับความนิยมในช่วงเทศกาลกินเจ ได้แก่

-ผัก ผักต่างๆนับว่าเป็นวัตถุดิบสำคัญอย่างหนึ่งในการประกอบอาหารเจ สำหรับร้านค้าที่ประกอบอาหารเจจำหน่ายในกรุงเทพฯและปริมณฑลจะนิยมไปซื้อผักที่ตลาดสี่มุมเมือง และตลาดไท สำหรับผู้บริโภครายย่อยทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดนั้น แหล่งจับจ่ายผักก็ยังเป็นตลาดสด
ผลจากการสำรวจพบว่า ผู้ที่ประกอบอาหารเจรับประทานเองนิยมใช้ผักเป็นส่วนประกอบสำคัญ ความต้องการผักในช่วงเทศกาลกินเจนั้นพุ่งสูงขึ้นจากช่วงปกติประมาณ 1 เท่าตัว ซึ่งความต้องการบริโภคผักที่พุ่งสูงขึ้นในช่วงเทศกาลกินเจ ทำให้ราคาผักในช่วงกินเจเป็นช่วงที่ผักมีราคาแพงช่วงหนึ่งของปี ในปีนี้มีภาวะน้ำท่วมในหลายพื้นที่และภาวะฝนที่ตกต่อเนื่อง ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับผลผลิตผัก โดยเฉพาะผักกินใบ และราคาน้ำมัน ซึ่งเป็นต้นทุนการขนส่งที่สำคัญมีราคาสูงกว่าปีก่อน

คาดว่าราคาผักในปีนี้จะพุ่งสูงขึ้นมากกว่าปีที่ผ่านมา โดยราคาผักสำคัญหลายชนิดมีแนวโน้มสูงมาตั้งแต่ต้นปี โดยเฉพาะข้าวโพดฝักอ่อน ถั่วฝักยาว ผักกาดหอม คะน้า ผักชี ฟักเขียว มะเขือเทศผลใหญ่ มะเขือเทศสีดา มะระจีนและหัวผักกาด ส่งผลให้บรรดาร้านจำหน่ายอาหารเจน่าจะลดปริมาณการใช้ผักหรือขึ้นราคาอาหารเจที่มีส่วนประกอบของผัก

ในปีนี้เนื่องจากกระแสการรักษาสุขภาพยังคงเป็นกระแสหลักอยู่ ประเภทผักที่คาดว่าจะมีการขยายตัวของการบริโภคอย่างมาก คือ ผักปลอดสารพิษ และผักอนามัย แม้ว่าผักประเภทนี้จะมีราคาสูงกว่าผักโดยทั่วไปค่อนข้างมากก็ตาม
-โปรตีนเกษตร เดิมนั้นสินค้าประเภทนี้พัฒนาขึ้นเพื่อเป็นทางเลือกทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ซึ่งต่อมาก็เป็นที่แพร่หลายในกลุ่มของผู้ที่รับประทานมังสวิรัติ และผู้ที่พยายามหลีกเลี่ยงในการรับประทานเนื้อสัตว์เพื่อสุขภาพ ตั้งแต่ปี 2539 บริษัทเอกชนมีการพัฒนาโปรตีนเกษตรไปอีกขั้นหนึ่ง โดยการสกัดไขมันในระหว่างขั้นตอนการผลิต ยอดจำหน่ายโปรตีนเกษตรในช่วงเทศกาลกินเจในแต่ละปีคาดว่าสูงถึง 200 ล้านบาททีเดียว
-น้ำมันพืชและซอสปรุงรส ในช่วงเทศกาลกินเจนับว่าเป็นช่วงโอกาสทองในแต่ละปีที่บรรดาผู้ประกอบการน้ำมันและซอสปรุงรสรอคอย เนื่องจากเป็นช่วงที่ยอดจำหน่ายเพิ่มขึ้น ดังนั้น ในช่วงใกล้เทศกาลกินเจจึงมีการโฆษณาน้ำมันพืชและซอสปรุงรสให้เห็นอยู่เนืองๆ โดยเน้นให้ผู้บริโภคจดจำตรายี่ห้อ ประมาณว่าในช่วงเทศกาลกินเจในแต่ละปียอดจำหน่ายน้ำมันพืชและซอสปรุงรสเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 5 ของยอดจำหน่ายปกติ

จากการสำรวจพบว่าค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อวันของคนกรุงเทพฯที่เป็นกลุ่มตัวอย่างที่ตั้งใจจะกินเจในปีนี้ยังใกล้เคียงกับในปีที่ผ่านมาคือ ค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 100-120 บาทต่อคนต่อวัน เนื่องจากยังคงเน้นประหยัดเนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่ยังรัดตัวอยู่ และบางคนปรับพฤติกรรมรับเศรษฐกิจพอเพียง โดยแนวทางการปรับพฤติกรรมของคนไทยที่ตั้งใจจะรับประทานอาหารเจนั้น จะปรับพฤติกรรมโดยหันไปรับประทานอาหารสำเร็จรูปประเภทแช่เย็นแช่แข็งและกึ่งสำเร็จรูปมากขึ้น

ส่วนอาหารเจสำเร็จรูปประเภทตักขาย/อาหารเจตามสั่ง น่าจะมียอดจำหน่ายสูงเฉพาะในมื้อกลางวัน ทั้งนี้ เนื่องจากคาดว่าอาหารเจประเภทตักขาย/อาหารเจตามสั่งในปีนี้ น่าจะมีการปรับราคาจำหน่ายเพิ่มขึ้น 5-10 บาทต่อถุงหรือจาน อันเป็นผลมาจากราคาวัตถุดิบ โดยเฉพาะผักมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างมาก
เป็นที่น่าสังเกตว่าในปีนี้ผู้บริโภคอาหารเจต่างปรับตัว โดยหันไปรับประทานอาหารเจกึ่งสำเร็จรูป อาหารเจสำเร็จรูปแช่แข็ง เบเกอรี่เจ ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่ของอาหารเจมากขึ้น ทั้งอาหารเจเหล่านี้ผู้บริโภคยอมรับและหันมานิยมบริโภคมากขึ้น แหล่งข้อมูล

Friday, September 19, 2008

ฟอร์บส์จัดอันดับ 400 เศรษฐี

สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน(19 ก.ย.) อ้างนิตยสาร "ฟอร์บส์" นิตยสารที่มีความเชี่ยวชาญในการจัดอันดับเศรษฐีทั่วโลก ได้จัดอันดับบรรดามหาเศรษฐีชาวอเมริกัน จำนวน 400 อันดับ เปิดเผยเมื่อ 18 ก.ย. ว่า มหาเศรษฐีชาวอเมริกันที่มีทรัพย์สินตั้งแต่ 1,300 ล้านดอลลาร์ขึ้นไป ถัวเฉลี่ยทรัพย์สินของเศรษฐีทั้ง 400 รายนี้ อยู่ที่ 3,900 ล้านดอลลาร์ พบว่านายบิล เกตส์ ผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟ ยังครองแชมป์อันดับ 1 ผู้ร่ำรวยที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกา มีทรัพย์สินมูลค่า 57,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1,938,000 ล้านบาท ลดจากปีก่อนที่มี 59,000 ล้านดอลลาร์
รายงานระบุว่า อันดับ 2 คือ นายวอร์เรน บัฟเฟ็ตต์ เจ้าพ่อนักค้าหุ้น มีทรัพย์สิน 50,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 1,700,000 ล้านบาท) ลดลงจากปีที่แล้ว ที่มี 52,000 ล้านดอลลาร์ อันดับ 3 นายลอว์เรนซ์ เอลลิสัน ผู้ก่อตั้ง "ออราเคิล คอร์ป" มีทรัพย์สิน 27,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 918,000 ล้านบาท) ขณะที่ 4 พี่น้องตระกูล "วอลตัน" ทายาทของแซม วอลตัน ผู้ก่อตั้งห้างวอลมาร์ท พุ่งขึ้นมาติดอันดับ 4-7 ด้วยทรัพย์สินราว 23,000 ล้านดอลลาร์ ส่วนนายก-เทศมนตรีมหานครนิวยอร์ก นายไมเคิล บลูมเบิร์ก ติดอันดับ 8 ด้วยทรัพย์สินรวม 20,000 ล้านดอลลาร์ จากธุรกิจด้านข่าวสารและเครือข่ายข้อมูลการเงิน ด้านอันดับ 9-10 เป็น 2 พี่น้องตระกูลโคช ชาร์ลส และเดวิด ผู้บริหารบริษัทโคช อินดัสทรี ทำธุรกิจด้านการผลิตและพลังงาน มีทรัพย์สินคนละ 19,000 ล้านดอลลาร์
นายแมตธิว มิลเลอร์ บรรณาธิการการจัดอันดับของฟอร์บส์ กล่าวว่า ข้อเท็จจริงที่ว่าบุคคลผู้ร่ำรวย ไม่ได้ ร่ำรวยมากขึ้นกว่าเดิม บ่งบอกให้รู้ว่าเศรษฐกิจถูกล็อกหยุดชะงัก การที่ไม่มีการต่อสินเชื่อ อีกทั้งตลาดมีสภาพคล่องน้อย สัญญาทางธุรกิจก็ไม่เกิด เป็นปัจจัยทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจหดตัว แหล่งข้อมูล

นมผงปนเปื้อนเมลามีน

เอเจนซี—รัฐบาลจีนประกาศเลิกระบบดูแลคุณภาพอาหารที่ใช้มา 8 ปี โดยจะลุยตรวจสอบแม้บริษัทที่มีชื่อเสียงด้านคุณภาพอาหาร ขณะที่เหยื่อนมเมลามีนเพิ่มเป็น4ราย
กรณีอื้อฉาวนมผงปนเปื้อนเมลามีนของซานลู่ กรุ๊ปที่ได้สังหารทารกไปแล้ว 4 คน ป่วยด้วยโรคนิ่วในไตกว่า 6,000 คนนั้น ทำให้จีนกุลีกุจอตรวจสอบความปลอดภัยผลิตภัณฑ์นมทั่วประเทศกันยกใหญ่ จนพบนมผงสำหรับทารกของบริษัทในจีนถึง 22 บริษัท มีสารเมลามีนตัวการก่อโรคนิ่วในไตในระดับต่างๆกัน โดยรวมถึงกลุ่มยักษ์ใหญ่นมจีน ที่มีการส่งออกไปยังต่างแดน ไม่ว่า เมิ่งหนิว หรืออีลี่
เหมิ่งหนิว แถลงขอโทษผู้บริโภค กรณีที่สินค้าของบริษัท มีสารเมลามีนปนเปื้อน และภายใน 5 ปีนี้ หากมีผู้บริโภคที่ได้รับอันตรายต่อสุขภาพจากสินค้านมของบริษัทก็จะรับผิดชอบเต็มที่

ด้านอีลี่ กลับบอกว่า สารเมลามีนที่พบในผลิตภัณฑ์นมภายใต้เครื่องหมายการค้าอีลี่นั้น มีระดับต่ำที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยมีเมลามีนเพียง 12 มก.ในปริมาณอาหารแต่ละ 1 กก. ต่ำกว่าระดับมาตรฐาน 15 มก./ 1 กก.

เมื่อวันอังคาร(16 ก.ย.) เชนซูเปอร์มร์เก็ตในฮ่องกง ก็ได้เก็บโยเกิร์ตเครื่องหมายการค้าของแผ่นดินใหญ่ออกจากตู้ เนื่องจากผลการตรวจสอบระบุมีสารเมลามีนปนเปื้อนในระดับต่างๆ"
เจ้าหน้าที่เผยว่า เหมิ่งหนิวและอีลี่ได้ส่งออกสินค้าไปยังบังคลาเทศ บุรุนดี กาบอง พม่า และเยเมน แต่ก็ไม่เป็นที่ชัดเจนว่านมผงที่ส่งออกไปเหล่านั้น ปนเปื้อนเมลามีนหรือไม่ สำหรับนมผงซานลู่ ที่ส่งออกไปยังไต้หวัน ได้ถูกเรียกคืนแล้ว
ขณะเดียวกัน กลุ่มบรรษัทข้ามชาติก็ได้ออกมายืนยันความปลอดภัยในผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในโรงงานจีน ได้แก่ Mead Johnson บริษัทผลิตนมผงสำหรับทารกของ Bristol-Myers Squibb ยืนยันว่านมผงที่ผลิตในโรงงานที่จีนนั้น ใช้วัตถุดิบนำเข้าทั้งหมด เนื่องจากเห็นว่าเครือข่ายแหล่งป้อนสินค้าในท้องถิ่น ไม่ปลอดภัย, ด้านInternational Nutrition ของ Groupe Danone ยักษ์ใหญ่นมและโยเกิร์ตแห่งฝรั่งเศส ก็ยืนยันเช่นกันว่า สินค้านมผงสำหรับทารกที่ผลิตในจีนนั้น ใช้วัตถุดิบนำเข้าเท่านั้น, ส่วนเนสเล่ Nestle SA ยักษ์ใหญ่ที่ครอบงำตลาดนมโลก ก็ยืนยันว่าทางบริษัทซื้อวัตถุดิบนมจากเกษตรกรท้องถิ่น ที่ได้รับการดูแลตรวจสอบทุกวันโดยเจ้าหน้าที่เกษตร
ผู้เชี่ยวชาญการเกษตรเผยว่าวิธีการเลี้ยงโคนมของเกษตรกรจีน ทำให้นมวัวขาดสารโปรตีน เจ้าหน้าที่รัฐบาลเผยกรณีที่เลวร้ายยิ่งไปกว่านี้ก็คือผู้ค้าบางคนได้เติมน้ำลงไปในนมและใส่เมลามีนลงไปเพื่อสร้างผลประโยชน์มากที่สุด ผู้ค้าสองพี่น้องที่ถูกจับยอมรับว่าพวกเขาต้องใส่เมลามีนลงไปเพื่อให้ระดับโปรตีนผ่านมาตรฐานของซานลู่ ทั้งนี้ เมลามีน เป็นสารเคมีที่ใช้ทำปุ๋ย และพลาสติก มีไนโตรเจนสูง จึงทำให้นมดูเหมือนกับมีโปรตีนสูง
แหล่งข้อมูล ผู้จัดการออนไลน์ 18 กันยายน 2551 19:13 น.

Thursday, September 18, 2008

พายุนาคเล่นน้ำ

เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ทำให้คนไทยจำนวนไม่น้อยฮือฮา สำหรับ “พายุนาคเล่นน้ำ” ซึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้เกิดขึ้นซ้อน ๆ กัน 2 ที่ 2 ทิศของประเทศไทย ด้วยขนาดที่ถือว่าใหญ่ทีเดียว นั่นก็คือในบึงบอระเพ็ด จ.นครสวรรค์ เมื่อ 9 ก.ย. 2551 และในทะเลอ่าวจอมเทียน-อ่าวพัทยา จ.ชลบุรี เมื่อ 12 ก.ย. 2551
หลายคนอาจมองปรากฏการณ์นี้ในเชิงลางบอกเหตุ
ขณะที่ในทางวิทยาศาสตร์-วิชาการ...ก็มีคำอธิบาย...
ทั้งนี้ ข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ใน http://gotoknow.org/ profile/chiew-buncha โดย ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) อธิบายไว้ว่า... พายุหมุนแบบนี้ที่เกิดในน้ำ ที่เรียกว่านาคเล่นน้ำ บางทีก็เรียก “พวยน้ำ” ฝรั่งเรียก “วอเตอร์สเปาท์ (waterspout)”
นาคเล่นน้ำจะมี 2 แบบ โดยแบบแรกเกิดเหนือผืนน้ำ อาจเป็นทะเล ทะเลสาบ แอ่งน้ำ ระหว่างที่มีพายุฝนฟ้าคะนองหนักแบบซูเปอร์เซลล์ และมีระบบอากาศหมุนวนที่เรียกว่าเมโซไซโคลน เรียกว่า นาคเล่นน้ำที่เกิดจากทอร์นาโด ซึ่งในภาพยนตร์เรื่องทวิสเตอร์จะมีอยู่ฉากหนึ่งที่มีทอร์นาโดแบบนี้หลายงวงอาละวาดอยู่ในน้ำ
แบบที่สอง จะเกิดบ่อยกว่า และน่าจะตรงกับที่เพิ่งเกิดขึ้นในบ้านเรา ที่ไม่มีฝนฟ้าคะนองร่วม เกิดจากการที่มวลอากาศเย็นเคลื่อนผ่านเหนือผิวน้ำที่อุ่นกว่า โดยบริเวณใกล้ ๆ ผิวน้ำมีความชื้นสูง ไม่ค่อยมีลมพัด หรือถ้ามีก็พัดเอื่อย ๆ ผลคืออากาศที่อยู่ติดกับผืนน้ำซึ่งอุ่นในบางบริเวณจะยกตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง ทำให้อากาศโดยรอบไหลเข้าแทนที่ จากนั้นจึงพุ่งเป็นเกลียวขึ้นไป แบบนี้เรียก นาคเล่นน้ำของแท้
จุดต่างของทั้ง 2 แบบคือ แบบแรกอากาศหมุนจากบนลงล่าง แบบที่สองอากาศหมุนจากล่างขึ้นบน ซึ่งช่วงที่อากาศพุ่งขึ้นเป็นเกลียววนหากน้ำในอากาศยังอยู่ในรูปไอน้ำจะยังมองไม่เห็นอะไร แต่หากอากาศขยายตัวและเย็นตัวถึงจุดหนึ่ง ไอน้ำกลั่นตัวเป็นหยดน้ำจำนวนมาก จะเห็นท่อหรือ “งวงช้าง” เชื่อมผืนน้ำและเมฆ

นาคเล่นน้ำส่วนใหญ่ยาวราว 10-100 เมตร แต่ถึง 600 เมตรก็เคยพบ เส้นผ่านศูนย์กลางก็มีตั้งแต่เล็ก ๆ แค่ 1 เมตร ไปจนถึงหลายสิบเมตร โดยในนาคเล่นน้ำแต่ละตัวอาจมีท่อหมุนวนเพียงท่อเดียวหรือหลายท่อก็ได้ แต่ละท่อจะหมุนด้วยอัตราเร็วในช่วง 20-80 เมตรต่อวินาที (ถ้าเป็นพายุทอร์นาโดมักจะยาวราว 100-300 เมตร และหมุนวนเร็ว 40-150 เมตรต่อวินาที) กระแสลมในตัวพายุนาคเล่นน้ำจะเร็ว 100-190 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และอาจสูงถึง 225 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งสามารถจะคว่ำเรือเล็ก ๆ ได้สบาย
นอกจากหมุนวนรอบตัวเองแล้ว นาคเล่นน้ำยังสามารถเคลื่อนที่ได้เร็วตั้งแต่ 3-130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ส่วนใหญ่จะเคลื่อนที่ค่อนข้างช้าประมาณ 18-28 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อย่างไรก็ดี นาคเล่นน้ำมีอายุการเกิดไม่นาน คืออยู่ในช่วง 2-20 นาที (แต่ถึง 30 นาทีก็เคยพบ) และหากขึ้นฝั่งก็มักจะสลายตัวอย่างรวดเร็ว
ดร.บัญชาบอกไว้อีกว่า... ตามสถิติที่ค้นได้พบ นาคเล่นน้ำเคยเกิดพร้อมกัน 7 ตัวที่เกรทเลคส์ พรมแดนระหว่างแคนาดากับสหรัฐอเมริกา ในเหตุการณ์ที่เรียกว่า นาคเล่นน้ำครั้งมโหฬารแห่งปี 2003 ซึ่งมีนาคเล่นน้ำปรากฏถึง 66 ตัว (เป็นอย่างต่ำ) แค่ในช่วงระหว่าง 27 ก.ย.-3 ต.ค. ปี ค.ศ. 2003
ในสหรัฐ “นาคเล่นน้ำ” มักเกิดแถวฟลอริดาบริเวณที่เรียกว่าฟลอริดาคียส์ ใกล้ “สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา” ทำให้บางคนสันนิษฐานว่า “อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เครื่องบินและเรือจำนวนมากสูญหายไปในบริเวณสามเหลี่ยมลึกลับนี้ก็เป็นได้” ...ดร.บัญชาระบุไว้ และยังมีข้อมูลในส่วนของ “พายุงวงช้าง” ที่เกิดบนพื้นดินด้วยว่า... ฝรั่งเรียกว่า “แลนด์สเปาท์ (landspout) ก็คล้ายนาคเล่นน้ำของแท้ แต่เกิดจากมวลอากาศเย็นเคลื่อนที่ผ่านพื้นดินที่ร้อนจัดเพราะถูกแดดแผดเผา อากาศเลยยกตัวลอยขึ้นและหมุนวนเป็นเกลียว
แหล่งข้อมูล

การจัดระบบเงินเดือนและสวัสดิการเพื่อการพัฒนาองค์กรสู่มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ

นาวาอากาศโท ดร.สุมิตร สุวรรณ หัวหน้าโครงการวิจัย เรื่อง “การจัดระบบเงินเดือนและสวัสดิการ เพื่อการพัฒนาองค์กรสู่มหาวิทยาลัย ในกำกับของรัฐ : บทสะท้อนจากพนักงานมหาวิทยาลัย” เผยผลการวิจัยฯ ว่า จากการเก็บข้อมูลกลุ่มตัวอย่างพนักงานมหาวิทยาลัยสายวิชาการ ใน 8 สถาบัน ได้แก่ มก. ม.ศิลปากร ม.นเรศวร ม.ราชภัฏนครปฐม ม.เทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่าในส่วนของเงินเดือนขั้นต้น 54.8% ไม่พอใจ 43.0% พอใจ เงินประจำตำแหน่งทางวิชาการ 41.6% พอใจ 33.8% ไม่พอใจ เงินเพิ่มพิเศษ 47.0% พอใจ 27.0% ไม่พอใจ เงินโบนัส 42.0% ไม่พอใจ 32.0% พอใจ การเลื่อนขั้นเงินเดือน 48.4% ไม่พอใจ 44.8% พอใจ เงินสวัสดิการ 60.9% ไม่พอใจ 35.9% พอใจ ส่วนที่เหลือไม่ตอบคำถาม

นาวาอากาศโท ดร.สุมิตร กล่าวต่อไปว่า ผลการวิจัยยังพบว่า มหาวิทยาลัยที่ออกนอกระบบส่วนใหญ่ไม่ได้ทำตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ให้ไว้ว่าเงินเดือนสายวิชาการได้ 1.7 เท่าของเงินเดือนแรกเข้าของข้าราชการปัจจุบัน สายสนับสนุน 1.5 เท่าฯ โดยเงินเดือนเริ่มต้นสายวิชาการ มก.อยู่ที่ 1.5 เท่าฯ ม.ศิลปากร อยู่ที่ 1.45 เท่าฯ ม.นเศวร อยู่ที่ 1.6 เท่าฯ ม.แม่ฟ้าหลวง 2 เท่าฯ และจุฬาฯ 1.55 เท่าฯ เป็นต้น ดังนั้นคณะวิจัยจึงเสนอแนวทางว่า การจัดระบบเงินเดือนของพนักงานมหาวิทยาลัยควรยึดมติ ครม.ที่ให้ไว้ และสวัสดิการหรือผลประโยชน์ก็ควรไม่น้อยกว่าระบบราชการ.แหล่งข้อมูล

Tuesday, September 16, 2008

ปิระมิดกระจกที่ดูไบ

ผลงานด้านสถาปัตยกรรมของชนเผ่ามายาและอียิปต์โบราณเป็นที่เลื่องลือของโลก แต่คนโบราณเหล่านี้อาจนึกไม่ถึงว่า สถาปัตยกรรมอย่าง "พีระมิด" จะกลายเป็นรูปแบบของการก่อสร้างอาคารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสมัยใหม่ ซึ่งอาคารนี้จะสร้างขึ้นที่ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แหล่งรวมอาคารแปลกและอลังการแห่งหนึ่งของโลก

พีระมิดกระจกที่ว่านี้มีชื่อว่า "ซิกกูรัต" จะสร้างบนพื้นที่ 2.3 ตารางกิโลเมตร และเป็นแหล่งรวมที่อยู่อาศัยให้กับประชาชนได้ถึง 1 ล้านคน! ไม่พึ่งพาพลังงานจากภายนอกแต่เพียงอย่างเดียว เพราะภายในมีการนำพลังงานจากไอน้ำ ลมและแหล่งธรรมชาติอื่นๆ มาใช้ การคมนาคมขนส่งเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพ ทั้งการขนส่งผู้คนทั้งแนวนอนและแนวตั้ง ผู้เชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรมจากยุโรป มีความเห็นว่า โครงการอย่าง "ซิกกูรัต" สามารถดัดแปลงเป็นโครงการใหญ่ๆ กว่านี้ได้

"ซิกกูรัต" เป็นพีระมิดแบบขั้นบันไดโบราณตั้งแต่ 2-7 ชั้น ของชาวสุเมเรียน ชาวบาบิโลเนียน ชาวอัสซีเรียน แห่งอารยธรรมเมโสโปเตเมีย รวมทั้งอิหร่าน ด้านนอกทำเป็นระเบียงและบันไดวน อีกอย่างที่ "ซิกกูรัต" แตกต่างจาก "พีระมิดอียิปต์" คือ "ซิกกูรัต" เป็นพีระมิดหัวตัด ขณะที่ "พีระมิดอียิปต์" เป็นพีระมิดหัวแหลม

นอกจากนี้ โครงสร้างหลักของ "ซิกกูรัต" ยังเป็นอิฐตากแห้ง ขณะที่อิฐที่เรียงภายนอก เป็นอิฐเผาไฟ เมื่อมองไปจะเห็นว่า "ซิกกูรัต" มีหลายสี และอาจบ่งบอกถึงความเกี่ยวข้องด้านดาราศาสตร์ สำหรับ "ซิกกูรัต" ที่มีชื่อเสียงของโลก เช่น เกรตซิกกูรัตแห่งอูร์ และคอร์ซาบัดในเมโสโปเตเมีย "ซิกกูรัต" ไม่ใช่สถานที่ประกอบพิธีกรรม ไม่ใช่สุสาน แต่เป็นที่อยู่ของเทพเจ้าตามความเชื่อของชาวเมโสโปเตเมีย แหล่งข้อมูล

Saturday, September 13, 2008

“สภาวะการศึกษาไทย ปี 2550-2551 เกี่ยวกับปัญหาความเสมอภาคและคุณภาพของการศึกษาไทย”

จากการสัมมนาโครงการสภาวะการศึกษาไทย ปี 2550-2551 ซึ่งจัดโดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) เมื่อวันที่ 2 ก.ย. รศ. วิทยากร เชียงกูล คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต กล่าวว่า ตนได้ทำการศึกษาวิจัย เรื่อง “สภาวะการศึกษาไทย ปี 2550-2551 เกี่ยวกับปัญหาความเสมอภาคและคุณภาพของการศึกษาไทย” พบว่า การจัดการศึกษามีปัญหาทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ โดยจากข้อมูลจัดการศึกษาในช่วงปีการศึกษา 2549-2551 สะท้อนว่า ประชากรในวัยเรียน อายุ 3-17 ปี แม้จะมีโอกาสได้รับการศึกษาสูงขึ้นจาก 85.3% ในปี 2549 เป็น 88.77% ในปี 2551 แต่ก็ยังมีผู้ไม่ได้เรียนสูงถึง 1.6 ล้านคน หรือคิดเป็น 11.23% ทั้งที่กฎหมายกำหนดให้รัฐบาลจัดการศึกษาภาคบังคับแก่ประชาชน 9 ปี สำหรับระดับอุดมศึกษา ปี 2549-2550 มีผู้เรียนระดับปริญญาตรี ประมาณ 2.4 ล้านคน จบปีละ 2.7 แสนคน ว่างงานปีละ 1 แสน มีนักศึกษาปริญญาโท 1.8 แสนคน และปริญญาเอก 16,305 คน ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าในปี 2550 มีผู้เรียนระดับต่ำกว่าปริญญาตรีลดลง เพราะสถาบันการศึกษาส่วนใหญ่จะขยายการเรียนในระดับปริญญาตรีและสูงกว่ามากขึ้น เนื่องจากคนนิยมเรียนเพื่อให้ได้ปริญญาเพิ่ม

รศ.วิทยากร กล่าวต่อไปว่า ส่วนคุณภาพในการจัดการศึกษานั้น ความสามารถทางการแข่งขันกับประเทศต่าง ๆ ของไทยมีแนวโน้มต่ำลงตลอด สำหรับแนวทางการปฏิรูปการศึกษานั้น มีหลายเรื่องที่อยากจะเสนอ ศธ. อาทิ ปฏิรูปโครงสร้างการบริหารการศึกษาแบบลดขนาด ลดบทบาทของการบริหารแบบรวมศูนย์อยู่ที่ รมว.ศธ.และ ส่วนกลางลง โดยกระจายอำนาจให้มีการบริหารแบบใช้ปัญญารวมหมู่, ปฏิรูปคุณภาพและคุณธรรมของครูอาจารย์อย่างจริงจัง, เปลี่ยนแปลงวิธีการ คัดเลือกคนเข้าเรียนมหาวิทยาลัยของรัฐ จากการสอบปรนัย ที่เน้นคำตอบสำเร็จรูป ไปเน้นการวัดการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ และการพัฒนาตนเองที่สะท้อนความรู้ความสามารถอย่างเป็นองค์รวม และที่สำคัญต้องปฏิวัติการศึกษาให้เกิดความเสมอภาค โดยต้องทุ่มงบฯกับการพัฒนาเด็กปฐมวัย ไม่ใช่ทุ่มงบฯกับโครงการเมกะโปรเจคท์ เพราะการพัฒนาเด็กปฐมวัยจะทำให้เด็กฉลาดและมีคุณภาพ เมื่อเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น

ด้าน ศ.ดร.ไพฑูรย์ สินลารัตน์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวว่า ทุกวันนี้ไทยขาดผู้นำด้านการศึกษา โดยเฉพาะจากฝ่ายการเมืองมีน้อยมาก เป้าหมายการจัดการศึกษาของไทยทั้งด้านคุณภาพและการพัฒนายังกระจัดกระจาย ทำให้เด็กที่จบมาตั้งแต่ระดับประถมศึกษาถึงปริญญาตรี มีปัญหาด้านคุณภาพ เช่น การอ่านเขียนคำว่า“แพทย์” และ “สร้างสรรค์” ไม่ถูก แต่ก็ไปเรียนต่อปริญญาโทและเอก ทำให้การศึกษาไทยเดินไปสู่ความไม่เอาไหน.แหล่งข้อมูล

Monday, September 08, 2008

International Literacy Day

วันแห่งการรู้หนังสือสากล
International Literacy Day is celebrated each year on 8 September. The objective is to highlight the importance of literacy to individuals, communities and societies. The theme of this year's celebration is Literacy and Sustainable Development. Today nearly 800 million people aged over 15 are illiterate and two-thirds of them are women. Source
Literacy is inseparably tied to all aspects of life and livelihood. Literacy is at the heart of learning, the core of Education for All (EFA) and central to the achievement of the Millennium Development Goals (MDGs).
UN : International Literacy Day

Sunday, September 07, 2008

ห้องสมุดเคลื่อนที่ โดยใช้ลา

DONKEY SERENADE ห้องสมุดเคลื่อนที่ โดยใช้ลาLibrarian Uses Donkey Cart to Bring Books to Rural Ethiopian Children
เจ้าลาหูยาวไม่ได้เป็นบรรณารักษ์ห้องสมุดจริงๆ แต่เด็กๆ เห็น "ห้องสมุดเดินได้" ที่เอธิโอเปีย แล้วถามล้อๆ ว่าห้องสมุดแห่งนี้มีลาเป็นบรรณารักษ์หรือเปล่า
ทั้งนี้ เพราะมีข่าวจากเอธิโอเปีย ว่าคุณลุงโยฮันเนส ผู้มีนามสกุลฟังแล้วจั๊กจี้ว่า "จีบรีโอจีส์" แกใช้ลาสองตัวลากห้องสมุดขนาดใหญ่กว่ารถขายไอศครีมหน่อยหนึ่ง เที่ยวตระเวนไปตามหมู่บ้าน เพื่อนำหนังสือไปให้เด็กๆ อ่าน
เอธิโอเปียซึ่งเป็นประเทศยากจน มีอะไรคล้ายๆ บ้านเรา คือมีห้องสมุดน้อยมาก เด็กๆที่อยู่ตามหมู่บ้านเกือบไม่เคยเห็นหนังสือด้วยซ้ำ เพราะเวลาเรียนเขียน-อ่าน ครูก็จะใช้เพียงกระดานกับชอล์กเขียนให้ดู
ไม่ค่อยมีใครสนใจจะพิมพ์หนังสือให้เด็กๆ เพราะเอธิโอเปียเป็นประเทศที่มีภาษามากมายไปหมด จนเกือบจะเหมือนว่าหมู่บ้านหนึ่งก็มีภาษาหนึ่ง พิมพ์หนังสือออกมาแล้วคงไม่ค่อยมีคนซื้อ เลยตัดปัญหาโดยไม่พิมพ์เสียเลยรู้แล้วรู้รอดไป รายละเอียด

Thursday, September 04, 2008

จุฬา-ศิริราชจดลิขสิทธิ์ คอลลาเจนจากผิวมนุษย์

จุฬา-ศิริราชจดลิขสิทธิ์ คอลลาเจนจากผิวมนุษย์
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผศ.นพ.ถนอม บรรณประเสริฐ ภาควิชา โสต ศอ นาสิกวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า รพ.จุฬาฯ และ รพ.ศิริราช ได้ร่วมกันค้นคว้า วิจัย "โครงการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ผิวหนังสังเคราะห์ต้นแบบ" (The Development of Artificial Skin Prototype Research Project) หรือ "Pore skin Artificial Dermis" โดยใช้เทคโนโลยีวิศวกรรมเนื้อเยื่อ (Tissue Engineering Technology) ประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรกของประเทศไทย และ ภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ โดยผิวหนังสังเคราะห์ที่พัฒนาได้ในครั้งนี้ ใช้ชื่อทางการค้าว่า Pore skin Artificial Dermis โดยขณะนี้ได้ยื่นจดลิขสิทธิ์ทางปัญญาแล้ว ซึ่งได้ทำการทดลองมาตั้งแต่ปี 2548-ปัจจุบัน ใช้งบประมาณ 14 ล้านบาท โดยสภาวิจัยแห่งชาติเป็นผู้สนับสนุนทุนวิจัย

ผศ.นพ.ถนอมกล่าวว่า ผิวหนังสังเคราะห์ทำมาจากคอลลาเจนที่สกัดจาก ผิวหนังมนุษย์ โดยนำมาจากร่างของผู้บริจาคร่างกายแก่สภากาชาด มีลักษณะเป็นแผ่นบางๆ ชั้นล่างเป็นใยสังเคราะห์มีรูพรุน เพื่อให้เซลล์แทรกซึมเข้ามาสร้างเป็นเนื้อเยื่อใหม่ ขณะที่ด้านบนเป็นซิลิโคน ป้องกันการติดเชื้อ ซึ่งส่วนใหญ่จะเหมาะกับผู้ป่วยที่มีแผลไฟไหม้ขนาดใหญ่ แผลลึกระดับ 2-3 แผลหดรั้งที่เกิดจากไฟไหม้ หรือแผลขนาดใหญ่ที่ทะลุถึงชั้นผิวหนังแต่ไม่ถึงกล้ามเนื้อ ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดความพิการถาวรได้ แต่ไม่สามารถใช้กับผู้ป่วยแผลเรื้อรัง เช่น เบาหวาน เพราะผิวหนังไม่มีเซลล์เนื้อเยื่อ แผลติดเชื้อ แผลสกปรก แผลขาดเลือด จากสาเหตุต่างๆ เช่น แผลที่ถูกการฉายรังสี ผิวหนังสังเคราะห์นี้ราคาถูกกว่าคอลลาเจนจากวัวที่สหรัฐอเมริกามาก ขนาด 10x10 เซนติเมตร สหรัฐราคา 50,000 บาท ญี่ปุ่น 23,000 บาท ขณะที่ของไทย 2,000 บาท แหล่งข้อมูล

Tuesday, September 02, 2008

ประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตกรุงเทพมหานคร

กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : สถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย รายงานว่า นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตกรุงเทพมหานคร เนื่องจากมีกลุ่มบุคคลดำเนินการให้เกิดความวุ่นวายทำให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนและความมั่นคงของรัฐ กระทบต่อพัฒนาการประชาธิปไตย จึงต้องแก้ไขปัญหาให้สิ้นสุดโดยเร็ว

พร้อมมีคำสั่งแต่งตั้งให้ผบ.ทบ.เป็นหัวหน้าผู้รักผิดชอบตามพ.ร.ก. จนกว่าสถานการณ์จะสงบโดยมีข้อกำหนดดังนี้

1.ห้ามชุมนุมตั้วงแต่ 5 คนเป็นต้นไปหรือกระทำอันยุยงขัดต่อความสงบ

2..ห้ามเผยแพร่ข้อความ เสนอข่าวให้ประชาชนเกิดความหวากกลัวจนกระทบความมั่นคงของรัฐ และ ความสงบทั่วราชอาญาจักร

3. ห้ามใช้เส้นทางบคมนาคม ยานพาหนะตามที่กำหนด

4.ห้ามใช้อาคารพื้นที่ใดๆ ตามที่กำหนด

5.ให้อพยพประชาชนออกจากอาหารหรือให้ไปอยู่อาคารตามที่กำหนด

ประกาศมีผลตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ปิดรร.435แห่งเขต กทม.จนกว่าสถานการณ์จะปกติ

นายพงศ์ศักติฐ์ เสมสันต์ ปลัดกรุงเทพมหานคร สั่งปิดโรงเรียนในสังกัด กทม. จำนวน 435 โรงเรียน จนกว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ขณะที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประกาศงดบรรยายการเรียนการสอนทุกคณะ เฉพาะที่ท่าพระจันทร์ แหล่งข้อมูล

รองนายกฯและรมว.ศึกษาฯ กล่าวถึงการสั่งปิดโรงเรียนในเขตกทม.ทั้ง 480 โรงเรียนว่า จะแบ่งออกเป็นสองส่วน คือ โรงเรียนที่สังกัดกทม. จะปิดเรียน 3 วัน และโรงเรียนที่สังกัดกระทรวงศึกษาธิการจะปิดเรียน 2 วัน เมื่อสถานการณ์เรียบร้อยก็จะเปิดเรียนตามปกติ และยืนยันว่าการสั่งปิดเรียนไม่เกี่ยวข้องกับพ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่เป็นการคำนึงถึงความไม่สะดวกและปลอดภัยของผู้ปกครองและนักเรียนมากกว่า แหล่งข้อมูล

Monday, September 01, 2008

Peaceful society

What is peaceful?
Every kind of peaceful cooperation among men is primarily based on mutual trust and only secondarily on institutions such as courts of justice and police. — Albert Einstein (1879-1955) Source

ปรับราคารถโดยสาร และค่าทางด่วน

รถร่วมบริการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ปรับขึ้นราคาค่าโดยสาร รถโดยสารธรรมดา จาก 8.50 บาท เป็น 10 บาท รถโดยสารปรับอากาศขึ้นระยะละ 1 บาท รถสองแถวจาก 6.50 บาท เป็น 7.50 บาท รถมินิบัสจาก 7 บาท เป็น 8 บาท แหล่งข้อมูล

การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) จะเริ่มใช้อัตราค่าผ่านทางราคาใหม่ในวันนี้ หลังจากที่คณะกรรมการควบคุมขนส่งทางบกกลางอนุมัติ ทางด่วนขั้น 1 และ 2 รถยนต์ 4 ล้อ ปรับขึ้น 5 บาท จาก 40 เป็น 45 บาท รถ 6-10 ล้อ เพิ่ม 10 บาท จาก 70 เป็น 80 บาท ตั้งแต่ 10 ล้อขึ้นไป เก็บ 100 บาท จากเดิม 85 บาท แหล่งข้อมูล