สุริยุปราคา 2552
พ.ศ. 2552 มีอุปราคาเกิดขึ้นทั้งหมด 6 ครั้ง เป็นสุริยุปราคาสองครั้งและจันทรุปราคาสี่ครั้ง ประเทศไทยมีโอกาสเห็นจันทรุปราคากับสุริยุปราคาอย่างละสองครั้ง ครั้งสุดท้ายเกิดในคืนวันส่งท้ายปี 2552
สุริยุปราคาครั้งนี้เกิดในช่วงสายของวันพุธที่ 22 กรกฎาคม ตามเวลาประเทศไทย เส้นทางสุริยุปราคาเต็มดวงเริ่มต้นที่อินเดีย ผ่านประเทศจีน เกาะเล็ก ๆ ทางใต้ของญี่ปุ่น และหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก เป็นสุริยุปราคาเต็มดวงนานกว่า 6 นาที ณ กึ่งกลางคราส (เปรียบเทียบกับสุริยุปราคาเต็มดวงในประเทศไทยเมื่อปี 2538 ที่นานประมาณ 2 นาที) นับว่ายาวนานที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 21 เป็นสุริยุปราคาชุดซารอสเดียวกันกับสุริยุปราคาเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2498 ซึ่งเห็นได้ในกรุงเทพฯ และสุริยุปราคาที่พาดผ่านเกาะฮาวายเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2534
เงามืดของดวงจันทร์เริ่มแตะผิวโลกตรงบริเวณชายฝั่งด้านทิศตะวันตกของประเทศอินเดียเมื่อเวลาประมาณ 7.53 น. ตามเวลาประเทศไทย จากนั้นเคลื่อนไปทางตะวันออกอย่างรวดเร็ว ผ่านพื้นที่บางส่วนของเนปาล บังกลาเทศ ภูฏาน และตอนเหนือสุดของพม่า เข้าสู่ประเทศจีน ผ่านเฉิงตูในมณฑลเสฉวน และเมืองใหญ่อย่างเซี่ยงไฮ้
แหล่งข้อมูล
ประมวลภาพสุริยุปราคาทั่วโลก
Wednesday, July 22, 2009
Sunday, July 19, 2009
โครงการพัฒนาห้องสมุดประชาชนมีชีวิต
Tuesday, July 14, 2009
"พันธบัตรไทยเข้มแข็ง"
วันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 เวลา 21:24:02 น. มติชนออนไลน์
"พันธบัตรไทยเข้มแข็ง"เกลี้ยงในพริบตา ผู้สูงอายุรอคิวแต่ไก่โห่ "มาร์ค"ถกครม.เพิ่มโควต้าขายคนทั่วไป
ขายหมดเร็วเกินคาดพันธบัตร"ไทยเข้มแข็ง" เกลี้ยง 3 หมื่นล้านบาท เพิ่มอีกเท่าตัวยังไม่พอ ผู้สูงอายุแห่จองแต่เช้ามืด สบน.แจงเหตุผิดพลาดทำคนต่อคิวเร็วอดซื้อ เพราะสาขาป้อนคำสั่งเข้าส่วนกลางช้าเลยไม่ได้ "อภิสิทธิ์"เล็งคุยครม.เพิ่มโควต้าขายคนทั่วไป
ผู้สูงอายุซื้อพันธบัตร3หมื่นล.เกลี้ยง
จากกรณีที่รัฐบาลกำหนดขายพันธบัตรไทยเข้มแข็ง 5 หมื่นล้านบาท โดยแบ่งเป็น 3 ล็อต โดยล็อตแรกวงเงิน 1.5 หมื่นล้านบาทขายให้ผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป วันที่ 13-14 กรกฎาคม ล็อตที่ 2 วงเงิน 1.5 หมื่นล้านบาทเปิดขายให้ผู้สูงอายุและประชาชนทั่วไปวันที่ 15-16 กรกฎาคม โดยทั้งสองล็อตจะกำหนดให้ซื้อขั้นต่ำ 1 หมื่นบาท และไม่เกิน 1 ล้านบาท ส่วนล็อตที่ 3 วงเงิน 2 หมื่นล้านบาท เปิดให้ประชาชนทั่วไป วันที่ 17-21 กรกฎาคม โดยไม่กำหนดเพดานการซื้อ แต่ปรากฏว่าการเปิดขายวันแรก 1.5 หมื่นล้านบาทสำหรับผู้สูงอายุหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว จนต้องนำวงเงินในส่วนล็อตที่ 3 มาสมทบ 1.5 หมื่นล้านบาท รวมเป็น 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งก็ขายหมดอย่างรวดเร็วเช่นกัน
นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงการเปิดจำหน่ายพันธบัตรไทยเข้มแข็งวันที่ 13 กรกฎาคมเป็นวันแรกว่า ได้รับความสนใจจากผู้สูงอายุเป็นจำนวนมาก กระทรวงการคลังจึงตัดสินใจเพิ่มวงเงินอีกเท่าตัวคือ 1.5 หมื่นล้านบาท เป็น 3 หมื่นล้านบาท โดยโยกจากวงเงิน 2 หมื่นล้านบาทที่เตรียมขายให้กับประชาชนทั่วไปในวันที่ 17-21 กรกฎาคมนี้ และพบว่าจำหน่ายได้หมดทั้ง 3 หมื่นล้านบาทเช่นกัน โดยมีผู้สูงอายุทั่วประเทศ 4 หมื่นรายได้ซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ครั้งนี้ เฉลี่ยรายละ 6-7 แสนบาท อ่านรายละเอียด
"พันธบัตรไทยเข้มแข็ง"เกลี้ยงในพริบตา ผู้สูงอายุรอคิวแต่ไก่โห่ "มาร์ค"ถกครม.เพิ่มโควต้าขายคนทั่วไป
ขายหมดเร็วเกินคาดพันธบัตร"ไทยเข้มแข็ง" เกลี้ยง 3 หมื่นล้านบาท เพิ่มอีกเท่าตัวยังไม่พอ ผู้สูงอายุแห่จองแต่เช้ามืด สบน.แจงเหตุผิดพลาดทำคนต่อคิวเร็วอดซื้อ เพราะสาขาป้อนคำสั่งเข้าส่วนกลางช้าเลยไม่ได้ "อภิสิทธิ์"เล็งคุยครม.เพิ่มโควต้าขายคนทั่วไป
ผู้สูงอายุซื้อพันธบัตร3หมื่นล.เกลี้ยง
จากกรณีที่รัฐบาลกำหนดขายพันธบัตรไทยเข้มแข็ง 5 หมื่นล้านบาท โดยแบ่งเป็น 3 ล็อต โดยล็อตแรกวงเงิน 1.5 หมื่นล้านบาทขายให้ผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป วันที่ 13-14 กรกฎาคม ล็อตที่ 2 วงเงิน 1.5 หมื่นล้านบาทเปิดขายให้ผู้สูงอายุและประชาชนทั่วไปวันที่ 15-16 กรกฎาคม โดยทั้งสองล็อตจะกำหนดให้ซื้อขั้นต่ำ 1 หมื่นบาท และไม่เกิน 1 ล้านบาท ส่วนล็อตที่ 3 วงเงิน 2 หมื่นล้านบาท เปิดให้ประชาชนทั่วไป วันที่ 17-21 กรกฎาคม โดยไม่กำหนดเพดานการซื้อ แต่ปรากฏว่าการเปิดขายวันแรก 1.5 หมื่นล้านบาทสำหรับผู้สูงอายุหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว จนต้องนำวงเงินในส่วนล็อตที่ 3 มาสมทบ 1.5 หมื่นล้านบาท รวมเป็น 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งก็ขายหมดอย่างรวดเร็วเช่นกัน
นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงการเปิดจำหน่ายพันธบัตรไทยเข้มแข็งวันที่ 13 กรกฎาคมเป็นวันแรกว่า ได้รับความสนใจจากผู้สูงอายุเป็นจำนวนมาก กระทรวงการคลังจึงตัดสินใจเพิ่มวงเงินอีกเท่าตัวคือ 1.5 หมื่นล้านบาท เป็น 3 หมื่นล้านบาท โดยโยกจากวงเงิน 2 หมื่นล้านบาทที่เตรียมขายให้กับประชาชนทั่วไปในวันที่ 17-21 กรกฎาคมนี้ และพบว่าจำหน่ายได้หมดทั้ง 3 หมื่นล้านบาทเช่นกัน โดยมีผู้สูงอายุทั่วประเทศ 4 หมื่นรายได้ซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ครั้งนี้ เฉลี่ยรายละ 6-7 แสนบาท อ่านรายละเอียด
Thursday, July 02, 2009
ยกระดับเป็นมหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ
คมชัดลึก : ศธ.ทุ่มกว่าหมื่นล้าน อัดฉีดมหาวิทยาลัยชั้นนำ 7-10 แห่ง ยกระดับเป็นมหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ เงื่อนไขต้องเป็นมหาวิทยาลัยที่ติดอยู่ใน 500 อันดับแรกของ Time ระบุต้องผลิตงานวิจัยสนองพัฒนาชาติให้มากขึ้น
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) แถลงข่าวโครงการพัฒนามหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ (National Research Universities) ว่ากระทรวงต้องการเร่งพัฒนามหาวิทยาลัยไทยให้มีศักยภาพการทำวิจัยเพิ่มขึ้น จึงขอใช้งบเงินกู้กระตุ้นเศรษฐกิจรอบ 2 (2553-2555) ประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท อัดฉีดให้มหาวิทยาลัยชั้นนำที่มีศักยภาพด้านวิจัย 7-10 แห่ง ยกระดับเป็นมหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติที่มีขีดความสามารถระดับโลก (World-Class University) ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ที่ผ่านมา
รมว.ศึกษาธิการกล่าวต่อว่า โครงการนี้จะสนับสนุนงบประมาณให้มหาวิทยาลัยที่ได้รับเลือก ไปดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ของตัวเอง เพื่อเพิ่มสมรรถนะการผลิตผลงานวิจัยและผลิตบุคลากรด้านวิจัยที่ตอบสนองต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมของประเทศ ตั้งเป้าไว้ว่า มหาวิทยาลัยที่เข้าโครงการต้องเบียดเข้าไปอยู่ใน 500 อันดับแรกของการจัดลำดับมหาวิทยาลัยทั่วโลกโดย Times Higher Education-QS หรือหากมหาวิทยาลัยนั้นอยู่ใน 500 อันดับแรกอยู่แล้ว ก็ต้องเลื่อนขั้นอยู่ในตำแหน่งดีขึ้น มหาวิทยาลัยต้องมีศูนย์วิจัยที่ได้รับการยอมรับอย่างน้อย 3 ด้าน
“โครงการนี้จะทำให้เกิดการพัฒนาศักยภาพด้านการทำวิจัยของมหาวิทยาลัย ส่งผลโดยตรงต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และรองรับรับแผนพัฒนาประเทศเป็นศูนย์กลางการศึกษาของ อีดูเคชั่น ฮับ ของภูมิภาคนี้“ รมว.ศึกษาธิการกล่าว
นายจุรินทร์กล่าวต่อว่า เปิดรับสมัครมหาวิทยาลัยเข้าร่วมโครงการตั้งแต่วันที่ 1-10 กรกฎาคม ซึ่งมหาวิทยาลัยจะต้องติดอยู่ใน 500 อันดับแรกของ Times Higher Education-QS ประจำปี 2008 หรือเป็นมหาวิทยาลัยที่มีผลงานวิจัยในฐานะข้อมูลระดับนานาชาติไม่ต่ำกว่า 500 เรื่องใน 5 ปีล่าสุด มีผลงานวิจัยระดับนานาชาติที่โดดเด่นอย่างน้อย 2 ใน 5 สาขาของ Times Higher Education-QS และต้องมีสัดส่วนอาจารย์จบปริญญาเอกมากกว่า 40% จะประกาศคัดเลือกเดือนสิงหาคมนี้
ด้าน ดร.สุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) กล่าวว่า ผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกล่าสุดของ Times Higher Education-QS นั้น มีมหาวิทยาลัยติดอันดับ 7 แห่งจากทั้งหมด 165 แห่ง จุฬาฯ อันดับที่ 166 ม.มหิดล อันดับที่ 251 ม.เกษตรศาสตร์ อันดับที่ 400 ม.เชียงใหม่ ม.ธรรมศาสตร์ ม.ขอนแก่น และ ม.สงขลานครินทร์ อยู่ในอันดับ 400-500 แหล่งข้อมูล
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) แถลงข่าวโครงการพัฒนามหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ (National Research Universities) ว่ากระทรวงต้องการเร่งพัฒนามหาวิทยาลัยไทยให้มีศักยภาพการทำวิจัยเพิ่มขึ้น จึงขอใช้งบเงินกู้กระตุ้นเศรษฐกิจรอบ 2 (2553-2555) ประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท อัดฉีดให้มหาวิทยาลัยชั้นนำที่มีศักยภาพด้านวิจัย 7-10 แห่ง ยกระดับเป็นมหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติที่มีขีดความสามารถระดับโลก (World-Class University) ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ที่ผ่านมา
รมว.ศึกษาธิการกล่าวต่อว่า โครงการนี้จะสนับสนุนงบประมาณให้มหาวิทยาลัยที่ได้รับเลือก ไปดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ของตัวเอง เพื่อเพิ่มสมรรถนะการผลิตผลงานวิจัยและผลิตบุคลากรด้านวิจัยที่ตอบสนองต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมของประเทศ ตั้งเป้าไว้ว่า มหาวิทยาลัยที่เข้าโครงการต้องเบียดเข้าไปอยู่ใน 500 อันดับแรกของการจัดลำดับมหาวิทยาลัยทั่วโลกโดย Times Higher Education-QS หรือหากมหาวิทยาลัยนั้นอยู่ใน 500 อันดับแรกอยู่แล้ว ก็ต้องเลื่อนขั้นอยู่ในตำแหน่งดีขึ้น มหาวิทยาลัยต้องมีศูนย์วิจัยที่ได้รับการยอมรับอย่างน้อย 3 ด้าน
“โครงการนี้จะทำให้เกิดการพัฒนาศักยภาพด้านการทำวิจัยของมหาวิทยาลัย ส่งผลโดยตรงต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และรองรับรับแผนพัฒนาประเทศเป็นศูนย์กลางการศึกษาของ อีดูเคชั่น ฮับ ของภูมิภาคนี้“ รมว.ศึกษาธิการกล่าว
นายจุรินทร์กล่าวต่อว่า เปิดรับสมัครมหาวิทยาลัยเข้าร่วมโครงการตั้งแต่วันที่ 1-10 กรกฎาคม ซึ่งมหาวิทยาลัยจะต้องติดอยู่ใน 500 อันดับแรกของ Times Higher Education-QS ประจำปี 2008 หรือเป็นมหาวิทยาลัยที่มีผลงานวิจัยในฐานะข้อมูลระดับนานาชาติไม่ต่ำกว่า 500 เรื่องใน 5 ปีล่าสุด มีผลงานวิจัยระดับนานาชาติที่โดดเด่นอย่างน้อย 2 ใน 5 สาขาของ Times Higher Education-QS และต้องมีสัดส่วนอาจารย์จบปริญญาเอกมากกว่า 40% จะประกาศคัดเลือกเดือนสิงหาคมนี้
ด้าน ดร.สุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) กล่าวว่า ผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกล่าสุดของ Times Higher Education-QS นั้น มีมหาวิทยาลัยติดอันดับ 7 แห่งจากทั้งหมด 165 แห่ง จุฬาฯ อันดับที่ 166 ม.มหิดล อันดับที่ 251 ม.เกษตรศาสตร์ อันดับที่ 400 ม.เชียงใหม่ ม.ธรรมศาสตร์ ม.ขอนแก่น และ ม.สงขลานครินทร์ อยู่ในอันดับ 400-500 แหล่งข้อมูล
อนามัยโลกยันไข้หวัด2009 ยังรักษาได้ด้วย"ทามิฟลู"
อนามัยโลกยันหวัด2009 ยังรักษาได้ด้วย"ทามิฟลู"
เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน นายดิ๊ก ทอมป์สัน โฆษกประจำสำนักงานองค์การอนามัยโลก ยืนยันว่า ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 ยังคงรักษาได้ด้วยยาทามิฟลู (โอเซลทามิเวียร์) ที่ผลิตโดยบริษัทโรช ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แม้จะมีรายงานก่อนหน้านี้ว่า มีผู้ป่วยชาวเดนมาร์กรายหนึ่งไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาดังกล่าวนี้ ก็ยังถือว่าเป็นกรณีดื้อยาที่เกิดขึ้นเพียงรายเดียว ยังไม่ส่งผลถึงกับทำให้ องค์การอนามัยโลกต้องเปลี่ยนแปลงคำแนะนำในการเยียวยาอาการของไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 แต่อย่างใด และไม่ได้แสดงให้เห็นว่าภาวะของโรคดังกล่าวในเวลานี้เลวร้ายลงกว่าเดิมเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม องค์การอนามัยโลกยังคงเตือนให้ทุกฝ่ายต้องระมัดระวังจับตาวิวัฒนาการของไวรัสเอช 1 เอ็น 1 ที่อาจเปลี่ยนแปลงไปได้ทุกเวลา
สถาบันเซรุ่มแห่งรัฐของทางการเดนมาร์กแถลงก่อนหน้านี้ว่า ผู้ป่วยรายดังกล่าวได้รับยาทามิฟลูเข้าไปและไม่ได้แสดงอาการตอบสนองต่อยาใดๆ ทั้งสิ้น ดังนั้น จึงคาดว่าผู้ป่วยรายนี้ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่กลายพันธุ์เป็นดื้อยาทามิฟลูไปเรียบร้อย อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยรายดังกล่าวยังคงตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาพ่นทางจมูก รีเลนซ่า (ซานามิเวียร์) และหายเป็นปกติดีแล้วในขณะนี้
อนึ่ง โรชประกาศในเวลาต่อมาว่า เตรียมเปิดโครงการผลิตและเก็บตุนทามิฟลูไว้ให้เพียงพอสำหรับการใช้ในประเทศกำลังพัฒนาโดยจะจำหน่ายให้ในราคาถูกเป็นพิเศษคือครึ่งหนึ่งของราคาจำหน่ายปกติในเวลานี้ ที่ราว 6 ยูโรต่อ 10 แค็ปซูล จากราคาปกติ 12 ยูโรต่อ10 แค็ปซูล (รอยเตอร์/เอเอฟพี)แหล่งข้อมูล
ประเทศไทยโดยองการเภสัชกรรม หรือ GPO ได้ผลิตยาโอเซลทามิเวียร์(Oseltamivir) ได้แล้วในประเทศไทย“โอเซลทามิเวียร์” เป็นชื่อสามัญ มีบริษัทโรชเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ และผลิตยาตัวนี้ขายในชื่อการค้าว่า “ทามิฟลู” โดย อภ.ได้รับอนุญาตให้ผลิตยาต้านไวรัสตัวนี้ได้ในชื่อการค้าว่า “จีพีโอ-เอ-ฟลู” (GPO-A-Flu) ในราคาเม็ดละประมาณ 70 บาท หากสั่งซื้อจากต่างประเทศจะมีราคาเม็ดละ 100 กว่าบาท แต่การผลิตจีพีโอ-เอ-ฟลูต้องทำภายใต้สิทธิบัตรของบริษัทโรช และต้องจำหน่ายภายในไทยเท่านั้น เนื่องจาก 2 -3 ปีที่แล้วบริษัทโรชเห็นว่าไทยอยู่ในกลุ่มประเทศเสี่ยงสูงต่อการแพร่ระบาดของ เชื้อไข้หวัดนก แหล่งข้อมูล
เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน นายดิ๊ก ทอมป์สัน โฆษกประจำสำนักงานองค์การอนามัยโลก ยืนยันว่า ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 ยังคงรักษาได้ด้วยยาทามิฟลู (โอเซลทามิเวียร์) ที่ผลิตโดยบริษัทโรช ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แม้จะมีรายงานก่อนหน้านี้ว่า มีผู้ป่วยชาวเดนมาร์กรายหนึ่งไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาดังกล่าวนี้ ก็ยังถือว่าเป็นกรณีดื้อยาที่เกิดขึ้นเพียงรายเดียว ยังไม่ส่งผลถึงกับทำให้ องค์การอนามัยโลกต้องเปลี่ยนแปลงคำแนะนำในการเยียวยาอาการของไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 แต่อย่างใด และไม่ได้แสดงให้เห็นว่าภาวะของโรคดังกล่าวในเวลานี้เลวร้ายลงกว่าเดิมเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม องค์การอนามัยโลกยังคงเตือนให้ทุกฝ่ายต้องระมัดระวังจับตาวิวัฒนาการของไวรัสเอช 1 เอ็น 1 ที่อาจเปลี่ยนแปลงไปได้ทุกเวลา
สถาบันเซรุ่มแห่งรัฐของทางการเดนมาร์กแถลงก่อนหน้านี้ว่า ผู้ป่วยรายดังกล่าวได้รับยาทามิฟลูเข้าไปและไม่ได้แสดงอาการตอบสนองต่อยาใดๆ ทั้งสิ้น ดังนั้น จึงคาดว่าผู้ป่วยรายนี้ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่กลายพันธุ์เป็นดื้อยาทามิฟลูไปเรียบร้อย อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยรายดังกล่าวยังคงตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาพ่นทางจมูก รีเลนซ่า (ซานามิเวียร์) และหายเป็นปกติดีแล้วในขณะนี้
อนึ่ง โรชประกาศในเวลาต่อมาว่า เตรียมเปิดโครงการผลิตและเก็บตุนทามิฟลูไว้ให้เพียงพอสำหรับการใช้ในประเทศกำลังพัฒนาโดยจะจำหน่ายให้ในราคาถูกเป็นพิเศษคือครึ่งหนึ่งของราคาจำหน่ายปกติในเวลานี้ ที่ราว 6 ยูโรต่อ 10 แค็ปซูล จากราคาปกติ 12 ยูโรต่อ10 แค็ปซูล (รอยเตอร์/เอเอฟพี)แหล่งข้อมูล
ประเทศไทยโดยองการเภสัชกรรม หรือ GPO ได้ผลิตยาโอเซลทามิเวียร์(Oseltamivir) ได้แล้วในประเทศไทย“โอเซลทามิเวียร์” เป็นชื่อสามัญ มีบริษัทโรชเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ และผลิตยาตัวนี้ขายในชื่อการค้าว่า “ทามิฟลู” โดย อภ.ได้รับอนุญาตให้ผลิตยาต้านไวรัสตัวนี้ได้ในชื่อการค้าว่า “จีพีโอ-เอ-ฟลู” (GPO-A-Flu) ในราคาเม็ดละประมาณ 70 บาท หากสั่งซื้อจากต่างประเทศจะมีราคาเม็ดละ 100 กว่าบาท แต่การผลิตจีพีโอ-เอ-ฟลูต้องทำภายใต้สิทธิบัตรของบริษัทโรช และต้องจำหน่ายภายในไทยเท่านั้น เนื่องจาก 2 -3 ปีที่แล้วบริษัทโรชเห็นว่าไทยอยู่ในกลุ่มประเทศเสี่ยงสูงต่อการแพร่ระบาดของ เชื้อไข้หวัดนก แหล่งข้อมูล
Subscribe to:
Posts (Atom)